(เรื่องสั้น) เกี่ยวกับ ไซย์ และ เดอลี ซาร์ // ep.2 จดหมายจาก เดอลี ซาร์ ถึง ไซย์ (ep.1-2 จบ)

ฉันภาวนาขอให้เป็นเธอนะไซย์ ที่ได้เปิดอ่านจดหมายฉบับนี้ เพราะฉันเขียนมันถึงเธอ

สวัสดีไซย์ ฉันเชื่อในความสามารถของเธอว่าต้องได้จดหมายฉบับนี้จากฉัน เพราะเธอเป็นคนมีน้ำใจมากและซื่อสัตย์ ฉันจึงเลือกเก็บมันเอาไว้ตรงที่-คนที่มีน้ำใจจะใส่ใจและนึกถึงมันจึงจะเห็น มันอาจเสี่ยงเพราะเธอเองอาจเหนื่อยเกินกว่าจะมีน้ำใจเล็กๆน้อยๆหรือห้องของฉันอาจถูกรื้อค้นจนเละเทะไปหมด แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนฉันก็เชื่อว่าเธอจะได้อ่านมัน

ฉันขอโทษนะที่ต้องทำให้เธอลำบาก ฉันไม่เลือกใช้คำว่า อาจจะ เพราะเชื่อว่าอย่างไรเสียในตอนสุดท้ายก็คงเป็นเธอที่เป็นคนจัดการทุกอย่างของฉัน ก็ฉันไม่มีใครเลยนี่นะ ก็คงมีแต่เธอที่เป็นคนมอบอาหารมื้อสุดท้ายให้ฉัน

ไซย์การที่ฉันเลือกจากไปไม่ใช่เพราะว่าทุกอย่างแย่หมดแล้ว แต่เพราะทุกอย่างแข็งตึงเกินไปสำหรับบางสิ่งบางอย่างที่อ่อนปวกเปียกแบบฉัน ฉันล้าเหลือเกิน และหดหู่เกินไป ฉันอ่อนแอเกินเยียวยาและไม่มีใครคอยประคับประคอง นอกจากเธอที่ยื่นมือมา แม้ยามที่เธอลำบากสุดแสนและเจ็บป่วย เธอก็ยังพยายามเคี่ยวเข็ญให้ฉันทำสิ่งต่างๆจนได้ และฉันเชื่อว่าหากวันนี้ที่ฉันนั่งเขียนจดหมายถึงเธออยู่นี้เปลี่ยนเป็นเดินทางไปหาเธอแทน ฉันก็คงจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกหนึ่งวันเพราะเธอ เพราะคำพูดของเธอ ที่พยายามเค้นออกมาจากร่างกายที่ทรมานของเธอ แต่ทำไมกันล่ะ ทำไมฉันต้องเป็นแบบนั้น ตรงกันข้าม เธอแย่ลงกว่าฉันและมีเรื่องราวมากมายกว่าฉัน ทั้งยังไม่แข็งแรงรวมถึงเจ็บป่วยที่หัวใจมากกว่าฉัน แต่ยังคงเลือกที่จะยื้อ เยียวยาตนเอง และยังคงอาศัยอยู่ มันทำให้ฉันรู้สึกสมเพชตนเองเหลือเกินที่เพียงแค่อ่อนแอเรื่องจิตใจก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว อาจเพราะฉันเดียวดายเกินไป และมืดหม่นเกินไป และฉันอยากจะขอบคุณเธอมากๆไซย์ ที่ช่วยทำให้ฉันกล้ามากขึ้นจนสามารถก้าวขาออกภายนอกได้ไกลกว่าเดิม ไปหาเธอ ไปหาคนที่ต้องคุย ไปหาสิ่งที่ต้องแก้ไข ฉันทำมันได้แม้จะเป็นการกระทำในตอนสุดท้ายของฉันก็ตาม ซึ่งฉันขอบคุณ และได้โปรด.. ได้โปรดอย่าโทษตัวเองในเรื่องที่ผิดพลาดเกี่ยวกับฉัน เรื่องงานที่ฉันได้เดินทางไปทำในที่-ที่ไกลแสนไกล มันดีมากๆนะไซย์ มันมีค่า และถือเป็นความเหมาะสมแล้วที่มีอะไรแบบนี้ในตอนจบของฉัน ฉันอาจไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้งี่เง่าจนทำพลาด และให้ทุกคนเสียหน้า แต่ฉันก็ยังสามารถห้ามตัวเองไม่ให้ทำอะไรแย่ลงกว่านั้นได้และพาร่างกายที่สั่นเทิ้มกลับมาจนถึงบ้านได้ โดยนึกถึงเธอว่า ถ้าเป็นเธอจะทำอย่างไร ฉันจำได้ในเหตุการณ์ที่เคยอยู่ร่วมกับเธอ เรื่องร้ายๆที่ทำให้เธอชาจนช็อคแต่ก็ยังค่อยๆหาทางกลับบ้านแม้จะไม่รู้สึกถึงสิ่งใดรอบตัวอีกแล้วก็ตามที ฉันเลือกเอง และไม่มีใครผิดพลาด ดังนั้นอย่าโทษตัวเอง ทำเพื่อให้ฉันได้สบายใจเถอะนะไซย์

เพราะฉันเหนื่อยหัวใจมากจากสิ่งที่รุมเร้า จากสิ่งที่รักษาไม่หาย จากสิ่งที่คนอื่นๆไม่เป็น คนที่แย่กว่าด้วยเรื่องที่มากกว่ากลับไม่เป็นอะไร แต่ทำไมคนอย่างฉันถึงต้องเป็นหนักกว่าด้วยอาการที่ทุกข์ทรมานมากกว่า ถ้าใครสักคนจะเข้าใจฉันก็คงเป็นเธอ ไซย์เธอทนอยู่กับอาการเหล่านี้ได้อย่างไร ทั้งที่เธอน่าสงสารกว่าฉันมากนัก เป็นเรื่องที่ฉันไม่กล้าสู้หน้าเธอเวลาที่ฉันหดหู่ แต่เธอกลับพูดแทนฉันได้ตลอดเวลาที่ฉันรู้สึก และบอกเสมอว่าเธอเองเป็นมานานจนรู้ได้ว่าใครที่กำลังเป็นและเป็นอยู่ผ่านการมองเห็นและรับรู้ทั่วๆไป เธอบอกว่าอย่าอาย ฉันจึงไม่เคยอายเวลาอยู่ต่อหน้าเธอ เราต่างรู้ว่าความรู้สึกเหล่านี้มันจะไม่มีทางดีขึ้น นอกจากเราจะขยันเยียวยามัน และฉันก็คงเยียวยามันไม่ได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง ฉันคิดว่ามันถึงเวลาของฉันแล้วที่ต้องพักการมีตัวตนที่ปราศจากชีวิตนี้ และฉันรู้ว่าสำหรับเธอ ฉันคือเพื่อน มิตรภาพ และคนรู้จัก เธอกล้าพูดว่า "นั่นเพื่อนฉันเอง เธอเก่งสุดยอด" ต่อหน้าคนอื่นๆ รู้ไหมว่ามันมีค่ามากที่เธอทำอย่างนั้นกับฉัน มันดีและแจ่มชัดในความทรงจำที่ฉันมี ส่วนสำหรับฉัน เธอคือเพื่อนคนเดียวที่ฉันมี และรู้จัก เป็นเพื่อนคนเดียวของฉันไม่ว่าจะในโลกของคนเป็น หรือโลกของคนตาย จะในโลกของมนุษย์สามัญหรือในอีกโลกของคนที่วิเศษ ไม่ธรรมดาและเก่าแก่ โลกที่เธอรักและมันคือบ้านที่แท้จริงของเธอ ทั้งหมดนี้เธอคือคนที่ฉันให้ใจ คนที่กล้าพูดกับฉันในขณะที่คนอื่นเมินฉัน คนที่เข้าหาฉันท่ามกลางความขัดแย้งของผู้อื่น คนที่ยื่นมือมาสัมผัสฉัน และเป็นคนแรกที่ฉันสัมผัสและยื่นมือออกไปหาด้วยความเต็มใจและปราศจากข้อกังขาใดๆ คนที่ไม่สมเพชฉัน และเป็นคนเดียวที่ฟังคำพูดของฉันแม้ว่ามันจะไม่น่าฟังแค่ไหนก็ตาม ฉันจะคิดถึงเรื่องทั้งหมดนี้ในอีกโลกที่ไม่มีใครรบกวน แม้กระทั่งอาการเจ็บป่วยที่หัวใจก็จะไม่รบกวนฉันอีก มันคงจะดีถ้าเราได้นั่งเล่นด้วยกันและกินคุ้กกี้ข้าวโอ๊ตกับน้ำแอ๊ปเปิ้ลกันอีกครั้ง มันคือเมนูแรกที่เธอใช้มาสานมิตรกับฉัน เธอจะจำมันได้ไหม พวกเขาลบมันออกไปจากความทรงจำของเธอหรือเปล่า ฉังหวังว่าไม่เป็นแบบนั้น เพราะฉันไม่ต้องการคิดคนเดียวว่าเคยมีเพื่อนเล่น มันคงจะเดียวดายกว่าเดิมแน่ เพราะฉะนั้นได้โปรดจดจำมันเพื่อฉันด้วยเถอะนะ เหมือนกับที่เธอจดจำฉันในเรื่องที่ฉันเก่งอะไร และทำอะไรได้บ้าง เธอเป็นคนเดียวที่ยกย่องฉันอย่างเปิดเผย จริงใจ ชื่นชมฉันต่อหน้าคนอื่น ปกป้องฉันและงานของฉันเสมอมา บางครั้งฉันก็คิดว่าเธอจะทำแบบนี้ทำไม ทั้งที่เธอดูจะหงุดหงิดอยู่เสมอ แต่แล้วฉันก็เลิกคิด เพราะคิดได้ว่า เธอก็เป็นเธอ จะเป็นอะไรได้เล่า ดีจริงๆที่ฉันยังจำใบหน้าที่หงุดหงิดของเธอได้

ฉันคิดเสมอ ว่าวันที่ฉันตายจะมีใครนึกถึงฉันบ้างไหม แล้วฉันจะเป็นอย่างไรในความคิดของแต่ละคน พวกเขาจะคิดว่า นึกแล้วต้องเป็นแบบนี้, ไม่แปลกหรอก ก็แย่ซะขนาดนั้น, น่าสงสารจริงๆ, หรืออะไรก็ตาม แต่เธอเคยบอกกับฉันว่า "หากเธอตายไป โลกของเราคงขาดคนที่มีพรสวรรค์เรื่องอักษร มันน่าใจหายถ้าจะไม่มีใครทำได้แบบที่เธอทำ ฉันคงหนึ่งแหละที่จะคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้" ตอนนั้นฉันดีใจและเหงามากที่เธอบอกกับฉันแบบนั้น ฉันคิดว่า ฉันจะสามารถทำสิ่งใดได้บ้างก่อนจากไป ในเมื่อฉันไม่มีใครให้ร่ำลา นอกจากเธอ ซึ่งฉันก็ดีใจที่อย่างน้อยฉันก็ได้มีคนให้ร่ำลา คนที่ไว้ใจได้ แม้เป็นเพียงคนเดียวแต่ก็เป็นคนเดียวที่ฉันวางใจ ฉันจึงตั้งใจเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยอักษรที่ฉันรัก ตั้งใจที่จะบอก บอกคนที่ฉันเชื่อใจ แม้บางเรื่องจะน่าโมโหแต่ก็รู้ว่าเธอคิดดีที่สุดแล้ว ฉันจึงขอบคุณเสมอ และขอโทษหากที่ผ่านมาฉันทำให้เธอไม่สบายใจ หรือหนักใจไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม ได้โปรดให้อภัยฉันด้วยนะ

ไซย์ฉันรู้ว่าเธอจะเป็นคนที่จัดการทุกอย่างของฉัน รวมถึงร่างที่ไร้วิญญาณของฉัน มันอาจไม่สวยงามแล้ว ตอนที่เธอมาพบ ฉันจึงจะบอกเธออีกครั้งว่า ทุกสิ่ง ทุกอย่างของฉัน ฉันขอมอบให้เธอเป็นคนจัดการแต่เพียงผู้เดียว ตามแต่ที่เธอจะเห็นว่าเหมาะสมและสมควรแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม แต่มีอยู่หนึ่งสิิ่งที่ฉันขอ ฉันรู้ว่าเธอจะต้องเผาร่างของฉัน ซึ่งฉันก็ต้องการแบบนั้น แต่ฉันจะขอให้เธอช่วยเก็บเถ้ากระดูกของฉันและนำไปฝังไว้ที่ใต้ต้นออซซี่ที่ฉันชอบไปนั่งอ่านหนังสือ ที่ที่เธอบอกว่าสวย มันตั้งตระหง่านอยู่ด้านข้างหอสมุดคิลส์ หอสมุดที่ฉันและเธอได้พบกันเป็นครั้งแรก มันคงจะดีถ้าได้กลับไปอีกครั้ง มันเป็นภารกิจที่ดีมากๆในตอนนั้น และที่นั่นก็ดีมากๆจริงๆ ฉันจะได้อยู่ไกล้ๆหอสมุด และอยู่ไกล้แม่น้ำ ป่าเขา เธอจะทำให้ฉันได้หรือไม่ ไม่ว่าจะตอนไหนหลังจากนี้ นี่คือสิ่งที่ฉันขอร้องเธอ และอีกเรื่องที่ฉันอยากให้เธอจัดการ ฉันขอมอบแผนที่เมซาร์คให้กับหอสมุดคิลส์ด้วยนะ ฉันได้แปลมันเป็นภาษาของปัจจุบันแล้ว มันจะมีค่าให้กับคนของหนังสือ คนของอักษร และคนของเรา เด็กของเราในอนาคต และอย่าทำเป็นเรื่องใหญ่นะ ทำอย่างสงบ (ฉันห้ามเธอได้อยู่ใช่ไหม) มันคงจะดีถ้าสักวันมีคนขอบคุณฉันที่ทำสิ่งนี้ให้ แม้ว่าฉันจะไม่อยู่แล้ว เพราะเมื่อฉันยังอยู่ คงยากนักที่คนแบบฉันจะได้ทำอะไรสมหวัง ฉันจึงขอฝากความหวังนี้ให้กับเธอคนที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยนะ

ท้ายสุดนี้ฝากขอบคุณเพื่อนรักของเธอ พ่อหนุ่มชาวคาตินซ์ ผู้ซึ่งช่วยเหลือฉันเรื่องค่าใช้จ่ายห้องพัก เขาอาจไม่ได้เล่าให้เธอฟังมาก แต่เขาช่วยฉันเอาไว้มากเลยนะ และนิสัยอบอุ่นมาก แม้ว่าจะน่ากลัวไปหน่อย ฉันคิดว่าคงดีถ้าได้รู้จักเขาเหมือนที่เธอรู้จัก และฝากขอบคุณคนที่ดูแลสถานที่ที่เธอพัก หมายเลข E ที่เข้าใจฉันและพูดคุยกับฉันอย่างเปิดเผย มองฉันเหมือนลูกสาว ฉันดีใจจริงๆ มันรู้สึกสายเกินไปเหลือเกิน ที่ได้รู้จักคนเหล่านี้ที่เธอนำพามาให้ฉันได้พบในตอนสุดท้ายของฉัน แต่ฉันก็ขอบคุณที่เขามองเด็กอย่างฉันเหมือนลูกหลาน และขอบคุณเธอนะไซย์สำหรับอาหารที่เธอทำให้ฉันได้อิ่มท้องในช่วงสุดท้ายของฉัน ขอบคุณน้าสาวของเธอที่อนุญาตให้ฉันได้กินและพักในห้องของเธอโดยไม่ว่าอะไร ขอบคุณสำหรับที่นอนและอื่นๆที่เธอแบ่งปัน ทั้งที่เธอลำบาก แต่เธอก็มีน้ำใจ ฉันขอให้สิ่งดีๆที่เธอมอบให้ฉันนี้ จงตอบกลับเธอในสักวันหนึ่ง เป็นคำขอบคุณของฉัน

ขออักษรที่รัก จงภักดีต่อเธอ เหมือนที่ฉันภักดีต่ออักษร ทุกอักขระนับจากนี้ขอจงแข็งแรง ปกป้องเธอ เหมือนที่ฉันปกป้อง-คุ้มครองทุกอักขระมาเนิ่นนาน หน้าที่ของฉันและของเธอมักผูกพันกับเหล่าอักษร ทั้งจากยุคนี้ และยุคที่ไม่อาจเอื้อมถึง ทั้งจากโลกที่สามัญ และโลกที่วิเศษ ขอจงเบิกทางในทุกที่ที่เธอต้องการ ฉันขอภาวนาให้เธอสมหวังในเรื่องที่ต้องทำ และภารกิจในอนาคต ขอความสุขที่เธอไม่อาจมีได้ ขอจงมีและเกิดขึ้นในรูปแบบที่เธอสามารถเอื้อมถึง
รักเธอสุดหัวใจ

ฉันจะคิดถึงเธอ
ด้วยอักษรที่รัก
เดอลี ซาร์
หรือ
-เดลล์ นามที่ไซย์เป็นผู้มอบให้

................................................................................................

ไซย์นั่งอ่านจดหมายอยู่บนเก้าอี้นอนของเชย์-หญิงสาวผมแดง
เธอบรรจงพับกระดาษ และใช้ปลายนิ้วรีดให้เรียบตามขอบมุมต่างๆของจดหมาย ก่อนจะเก็บเข้าซองตามเดิมแล้วนั่งถอนหายใจ ดวงตาของเธอแย่ลงในช่วงหลังนี้ ตัวหนังสือพล่าเลือนสีดำหนากว่าแต่ก่อนค่อนข้างมาก และยังปวดตาอีกต่างหาก มันทำให้เธออ่านหนังสือลำบากและเล่นเครื่องมือสื่อสารลำบากกว่าเดิม แต่ไซย์ก็ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคนี้ (คิดว่างั้นนะ) เธอลุกขึ้นยืนหยิบไม้เท้า แต่แล้วก็เลือกที่จะวาง ก่อนจะค่อยๆเดินออกไปจากห้องปรุงยานี้แล้วขึ้นไปบนดาดฟ้าด้วยลิฟต์

เธอชอบดาดฟ้าที่นี่
แล้วเธอก็ยืนร้องไห้ ค่อยๆร้อง แล้วก็เหงา เดียวดาย เธอกลัวโลกใบนี้ แต่ก็ต้องอยู่ กลัวหลายสิ่งแต่ก็ต้องอยู่ ขี้ขลาดและอ่อนแอ เธอลำบากแต่ก็ต้องอยู่ ทั้งที่เธอไม่ได้อยากอยู่เลย ไม่เลยแม้แต่น้อย เธอแค่ต้องอยู่เพื่อบางสิ่ง และใช้ชีวิตให้ปกติเหมือนคนทั่วไปในช่วงที่ยังพอมีเวลาให้ใช้ ใช้ให้เต็มที่เท่าที่สามารถ แม้ว่าเวลาที่มีมันอาจน้อยไปด้วยซ้ำสำหรับเรื่องที่ต้องทำ คนธรรมดาคงไม่อาจเข้าใจและรับรู้ แต่อย่างน้อยหลายคนที่ไม่ธรรมดาก็เข้าใจเหตุผลของคนที่อยากจะตายคนนี้ ว่าทำไมถึงต้องยังอยู่ คุณคงไม่มีสิทธื์จะมาต่อว่า หรือกล่าวหาไซย์ ว่าจะอยู่ทำไม มันลำบาก คุณมีค่าพอแล้วหรือที่จะมาบังคับและบงการให้คนอื่นตายไปซะเพียงเพราะอยู่ไปก็ทรมานน่ะ ทั้งที่ไม่ใช่ชีวิตของคุณด้วยซ้ำ

ไซย์เหงามาก และเหงามากขึ้น เธอไม่รู้เลยว่าการที่เพื่อนคนนี้ของเธอจากไปจะทำให้เธอเหงาและหดหู่ได้มากเท่านี้ คงเพราะสำหรับเพื่อนคนนี้ ไซย์คือเพื่อนรัก มันทำให้ไซย์รู้สึกแย่ แต่ก็เลือกที่จะมองออกไปสู่ที่กว้างบนดาดฟ้าแล้วสัญญาว่าเถ้ากระดูกของเพื่อนจะได้ไปอยู่ที่ใต้ต้นออซ ต้นนั้น ตามที่เพื่อนฝันเอาไว้

ชายหนุ่มคนหนึ่งเฝ้ามองอยู่เงียบๆตรงประตูทางเข้าของดาดฟ้า เพราะไม่กล้าที่จะเข้าไปหาเธอ จึงได้แค่มองอยู่ตรงนั้น จนเธอหันมาเห็นแล้วยิ้มให้ ก่อนจะกวักมือเรียกเขา เขาถึงเดินเข้าไปหา ไปไกล้เธอมากกว่าเดิมจากที่ยืนอยู่ก่อนหน้า

และเขากับเธอก็คุยกันบนดาดฟ้า

.........................
ep* 1
คลิก ➨ เกี่ยวกับ ไซย์ และ เดอลี ซาร์

.
.
...........................................................................................................
🍃🌸🍃🌸🍃🌸🍃
©salinsiree
If you have any questions, or would like to talk, contact me!
salinsiree.witchy@yahoo.com

(เรื่องสั้น) เกี่ยวกับ ไซย์ และ เดอลี ซาร์ // ep.1 - ในอดีต (ฉบับรวบรัด) ของทั้งสอง.... (ep.1-2 จบ)

เขาบอกว่าหล่อนเป็นผู้ร่วมงานที่มีอาการทางจิตใจ บ้างก็ว่ามีอาการหวาดระแวงเข้าขั้นเลวร้าย และแย่ลงเรื่อยๆ แต่เหตุผลที่เลือกหล่อนคือ ความสามารถ และหากว่าพวกเราสามารถยอมรับข้อเสียต่างๆของหล่อนได้ ก็จะร่วมงานกันได้และผ่านไปได้ด้วยดี เขาว่าอย่างนั้น

ไซย์สาวน้อยผู้ซึ่งมีผมสีดำและยาวถึงแค่กลางหลังในตอนนั้น กำลังนั่งขบคิดคนเดียวอยู่เงียบๆพลางนึกเกี่ยวกับบุคคลที่ถูกกล่าวถึง หล่อนคนนั้น.. ไซย์จะพูดอะไรได้ นอกจากคิดคนเดียวเงียบๆ ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆออกไปเช่นที่คนอื่นทำ เพราะแน่นอนว่าจิตใจเธอก็เจ็บป่วยเหมือนกันกับหล่อนคนนั้นนั่นแหละ.. และคงจะดีถ้าหากเข้ากันได้บ้าง ไซย์คิดคนเดียวก่อนจะจินตนาการรูปร่างหน้าตาของหล่อนต่อไป พลางหยิบขนมปังบูลดูย์ก้อนโตใส่ปากและเคี้ยวตุ้ยๆด้วยความหิว

หล่อนเป็นผู้หญิงที่ผอมบางกระดูกโปนและสูงกว่าไซย์ เค้าโครงหน้าวงรีปราศจากเครื่องสำอางและมีหน้าผากที่กว้างโดดเด่นสวยงาม ผมของหล่อนเป็นสีน้ำตาลอ่อนอมสีทองแก่ ผิวหนังสีครีมและค่อนไปทางซีดขาว ปากของหล่อนเล็กไปหน่อย จมูกโด่งและงองุ้มหายาก และเชื่อว่าอาจโดนล้อเลียนได้ง่ายถ้าต้องใช้ชีวิตอยู่อีกโลกหนึ่งที่แสนจะธรรมดาของคนทั่วไป ดวงตาของหล่อนเป็นสีเขียวหม่นหมองไม่สดใสและไม่กลมโตหรือโดดเด่นอะไร หล่อนทำผมโดยการรวบเป็นก้อนกลมๆกลางศรีษระซึ่งไซย์ไม่มีความรู้เรื่องทรงผมมากพอที่จะมีชื่อเรียกให้กับสิ่งนั้น หล่อนสวมเสื้อสีครีมซีดเก่าๆแบบถักมือหายาก เหมาะสมกับยุคเก่าแก่และงานที่ทำ มันมีแขนยาวถึงข้อศอก และผ้าคลุมไหล่สีเหลืองอ่อนมีลายลูกไม้เล็กๆซีดจางอยู่ประปราย หล่อนสวมกระโปรงยาวถึงเท้าและมีสีเดียวกับเสื้อ นั่นเป็นสิ่งที่ไซย์จำได้ในตอนนั้น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้พบกัน

หล่อนเป็นคนสุภาพ ขี้อาย ไม่พูดไม่จากับใคร และไม่มีใครอยากพูดกับหล่อน ผู้ซึ่งจะมีอาการสะดุ้งจนตัวโยนได้ง่ายๆถ้าหากคุณทักหล่อน ไม่ว่าจะด้วยสำเนียงหรือน้ำเสียงแบบไหนท่ามกลางความเงียบ หล่อนผู้ซึ่งซ่อนตัวภายใต้กองหนังสือและกองเอกสารงานต่างๆที่ถูกตั้งขึ้นสูงรอบโต๊ะทำงานที่หล่อนยึดเอาไว้ใช้เพียงลำพังในห้องสมุด หล่อนจะพูดเมื่อถึงเวลาที่พวกเราต้องการจะฟัง และเมื่อถึงเวลางานที่ต้องใช้เสียง ส่วนมื้ออาหารแต่ละมื้อหล่อนจะขอตัวคนเดียวเงียบๆและไม่ร่วมโต๊ะกับใคร ยกเว้นมื้อแรกที่ได้พบกันเพราะมันคือมารยาททางสังคมของที่นี่ และแน่นอนว่าค่อนข้างอึดอัด ซึ่งหล่อนก็ได้ทำหน้าตาที่สื่อถึงความทรมานเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นวันต่อๆมาหล่อนก็ไม่เคยร่วมโต๊ะอาหารกับใครอีก ห้องนอนของหล่อนเป็นห้องเดี่ยวที่ไม่มีใครเดินผ่านเพราะอยู่ริมสุดทางเดิน นั่นหมายถึงทุกคนจะถึงห้องพักของตนก่อนจะได้เดินผ่านห้องของหล่อนนั่นเอง หล่อนมีอาการหลายอย่างที่สื่อถึงหัวใจที่เจ็บป่วยและสุขภาพจิตไม่ค่อยจะดีนัก แต่ถ้าเป็นเรื่องงานที่ได้รับมอบหมายและในส่วนของหล่อนที่ต้องทำนั้นคงต้องยอมรับ และชื่นชมได้เต็มปากว่ายอดเยี่ยม ไม่มีบกพร่อง

ทั้งหมดนี้ ไซย์จับตาและเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา พลางครุ่นคิดเพียงลำพังด้วยข้อมูลที่ได้จากการเฝ้ามองหล่อนด้วยตัวเองในทุกๆวัน ไซย์ยังไม่ได้พูดคุยกับหล่อนเพราะยังไม่ได้มีหน้าที่ตรงนั้น และแม้จะสามารถพูดทักทายกันได้ง่ายๆ แต่ก็เพราะหล่อนปิดกั้นให้คนอื่นออกห่างและแผ่รัศมีบางอย่างที่สื่อถึง ได้โปรดอย่าทักฉันและปล่อยยฉันไปเถิด ไซย์ผู้ซึ่งไวต่อความรู้สึกต่างๆของผู้คนจึงไม่เคยได้ทักทายหล่อนนอกจากยิ้มให้ เพราะเกรงว่าจะทำให้หล่อนอึดอัดกว่าเดิม

และวันที่ทักทายหล่อนก็ได้มาถึง หลังจากครุ่นคิดอยู่นานไซย์ก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นว่าต้องเข้าหาหล่อนให้ได้ คนอื่นอาจมองว่าแปลกต่อเรื่องนี้ แต่สำหรับไซย์ผู้ซึ่งเป็นคนแปลกอยู่แล้วมันจึงไม่แปลกอะไรสำหรับการหาเพื่อนใหม่ หรือได้เรียนรู้ที่จะพูดคุยกับสิ่งมีชีวิตใหม่ๆแบบนี้

.......................................
เล่าว่า

"ห้าวันเต็มๆกว่าเธอจะยอมพูดกับฉัน" ไซย์หัวเราะ "นึกถึงตอนนั้นแล้วฉันอยากวางแผนใหม่และเริ่มไปทักทายเธอใหม่ เชื่อเถอะว่ามันจะไม่ใช้เวลาถึงห้าวันแน่นอน"
"ต้องยอมรับว่าเธอเหมือนปีศาจร้ายตัวเล็กๆในตอนนั้น ฉันกลัวเธอมากเลยนะ และเริ่มอยากจะจบงานให้ไวกว่าเดิมด้วยซ้ำ"
"แต่เธอก็ติดฉันแจในที่สุดนะ" ไซย์หัวเราะอีกครั้ง

........................................

เรื่องราวอย่างย่อในห้าวัน

วันแรก - ไซย์ยื่นความไว้วางใจให้หล่อนด้วยขนมคุ้กกี้ข้าวโอ๊ตแสนอร่อยอบใหม่หกชิ้น (ที่แอบหยิบมาจากในครัวของดุ๊กซี่ย์ ไวท์ แม่ครัวประจำของที่นี่) วางเรียงในจานสีขาวลายลูกไม้ พร้อมกับน้ำแอปเปิ้ลเย็นสดชื่น แต่ถูกหล่อนปฎิเสธด้วยการก้มหัวให้เป็นเชิงขอบคุณแต่ไม่รับ ก่อนจะรีบเข้าไปซ่อนตัวในโต๊ะทำงานที่หล่อนยึดเอาไว้ เป็นตัวในสุดในห้องสมุดที่มีชั้นวางหนังสือสูงตั้งรายล้อมเป็นกำแพงปกป้องหล่อนจากสายตาของผู้คน ไซย์จึงจัดการคุ้กกี้ในจานและน้ำแอปเปิ้ลด้วยตนเอง ก่อนจะไปเอาเพิ่มอีกแก้วและตั้งใจว่าวันนี้จะไม่กดดันหล่อนมาก แค่จะยิ้มกว้างๆให้หล่อนทุกครั้งที่เจอสำหรับวันนี้ก็แล้วกัน

วันที่สอง - ไซย์ทักทายระหว่างทางเดินไปห้องสมุด (ตั้งใจตื่นเช้ามายืนรอเลยนะ) และถูกหล่อนปฎิเสธด้วยการก้มหัวทักทายอย่างลุกลี้ลุกลนและตัวสั่นเมื่อได้เห็นไซย์ก่อนจะรีบเดินจากไป แต่ไซย์ก็วิ่งตามเบาๆไม่เร่งรีบก่อนจะบอกว่าเที่ยงนี้ตนจะเข้ามาทำงานในห้องสมุด อยากได้อะไรไหมจะได้หามาให้ไม่ว่าจะเป็นขนม อาหาร น้ำดื่ม หรือของที่จะใช้ทำงานเพิ่ม หรือวานให้พูดให้บอกอะไรกับใครก็ยังได้นะ (เอาสิ) แต่หล่อนกลับตัวสั่นยิ่งกว่าเดิมและรีบเดินหนีจากไซย์ให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไซย์จึงหยุดเดินและคิดว่าอาการแบบนี้คือหวาดระแวงผู้คนและกลัวการสื่อสาร เธอเข้าใจดีเพราะลิ้มรสมาบ้างแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ควรพูดรัวใส่หล่อนหรือยัดเยียดความเป็นมิตรให้

ว่าแล้วไซย์ก็หันหลังกลับพร้อมกับคิดทบทวนเรื่องใหม่ๆโดยการแบ่งเรื่องไว้ที่สมองส่วนซ้าย และแบ่งเรื่องหล่อนไว้สมองส่วนขวากับแบ่งเรื่องอาหารเช้าไว้ที่สมองส่วนกลาง ก่อนจะเพิ่มอาณาเขตออกไปจนแทนที่ส่วนซ้ายและขวาในที่สุด

ช่วงเที่ยงไซย์ขึ้นมาพร้อมกับถาดอาหารขนาดเล็กและมีจานพุดดิ้งรวมถึงน้ำแอปเปิ้ลสองแก้ว ก่อนจะวางลงบนโต๊ะของหล่อน แต่หล่อนไม่อยู่ อาจหลบซ่อนอยู่เพราะรู้ว่าไซย์จะมา ไซย์เลือกจะเรียกชื่อหล่อนเบาๆและบอกว่า มีของว่างมา วางที่โต๊ะ ก่อนจะขอตัวไปหาหนังสือแถวๆนั้นด้วยท่าทางสบายๆกันเอง ไม่นานหล่อนก็ออกมา และไซย์ทำเป็นเดินผ่าน แบบที่ไม่มองหล่อน หล่อนสะดุ้งและตกใจแต่เมื่อเห็นไซย์ไม่ได้มองตนแม้แต่น้อยก็เลยไม่กดดันมาก ไซย์เลือกจะทำเป็นกันเอง ง่ายๆ ไม่มอง ไม่จ้อง เมื่ออยากพูดก็ตะโกนถามถ้าอยู่ไกล และเดินไปหาเพื่อดื่มน้ำแก้วที่สองของตน ถามข้อมูลหล่อนเกี่ยวกับหนังสือ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป วานหล่อนให้ช่วยหา (ทั้งที่รู้ว่าอยู่ตรงไหน) ชมหล่อน และอื่นๆ

แม้หล่อนจะหลบหนี และทำงานไม่ราบรื่นเพราะมีปีศาจตัวน้อยๆอยู่ในห้องเดียวกันนี้ และแม้ว่าห้องจะใหญ่มาก แต่ก็ต้องคอยลุ้นว่าไซย์จะโผล่มาตอนไหน นั่นทำให้หล่อนอยู่ไม่เป็นสุข แม้ว่าไซย์จะไม่ก้าวก่ายและไม่ทำให้อึดอัดมากก็ตาม

วันที่สาม - ยังคงเหมือนวันที่สอง แต่มีงานภาคสนาม ต้องออกข้างนอก และไซย์ก็คอยอยู่กับหล่อน ปกป้องและพูดแทน กับไม่เซ้าซี้หรือถามหล่อนมาก ไซย์รู้จักคนแบบหล่อนดีว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเข้าหาได้ดี ช่วงนั่งพักไซย์ก็เลือกมานั่งกับหล่อน นั่นทำให้หล่อนกังวลและอยากร้องไห้ แต่ไซย์ก็รู้ดีแล้วรีบพูดโดยทำเป็นไม่สังเกตุเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนสีเพราะความอึดอัดของหล่อน ไซย์เล่าถึงความเหนื่อยของตนเองเหมือนไม่รู้ตัว "เฮ้อ เหนื่อยจัง ขาของฉันไม่ค่อยแข็งแรงและมันเดินมากเกินไปแล้วด้วย" ก่อนจะเล่าแบบไม่มีน้ำหนักถึงความเจ็บป่วยของตนเอง แต่เสริมกำลังใจว่าต้องทำเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ฮึบๆ!

หล่อนมองปีศาจตัวน้อยๆตรงหน้าด้วยแววตาไครรู้ อยากพูด อยากถาม แต่ปากมันก็สั่นไปหมด ไซย์สังเกตุเห็นเพียงเล็กน้อยแล้วทำเป็นพูดว่า "รู้อะไรไหม ฉันน่ะ..." แล้วก็เข้าทางของไซย์ เมื่อหล่อนตั้งใจฟัง และเริ่มถามคำถาม ไซย์ก็ดีใจ ที่ทำให้คนขี้เหงา ขี้อาย กล้าพูดกับตน หล่อนจะรู้ตัวไหมนะว่าไซย์กำลังช่วยเหลืออยู่น่ะ

พอช่วงค่ำไซย์พูดกับทุกคนให้เข้าใจหล่อน ผ่านมุมมองของไซย์ ไม่ใช่ผ่านดวงตาของแต่ละคน เมื่อแต่ละคนฟังไซย์อธิบายและเล่าในแบบของไซย์ ทุกคนจึงเริ่มตระหนักและเข้าใจหล่อนมากขึ้น ก่อนเข้านอนไซย์ไปเคาะประตูห้องหล่อนก่อนจะเรียกชื่อว่าตนมาหาและขอถามความคิดเห็นเรื่องงาน หล่อนเปิดประตูให้เคลื่อนออกเล็กน้อยพอให้มองเห็นดวงตาข้างเดียวของหล่อน

วันที่สี่ - ดีขึ้น ทานข้าวด้วยกันเงียบๆทุกมื้อ

วันที่ห้า - ดีขึ้น ทานข้าวด้วยกัน และมีพูดคุยเล็กน้อย

วันที่หก ยอมคุยด้วยแบบคนปกติ ปกติจริงๆเลยนะ เริ่มจาก หล่อนทักทายไซย์ก่อนด้วยการยิ้มให้แล้วพูดว่า "วันนี้มี..." "ที่..." "เธอต้องการ...แบบใหม่ เพื่อให้มันง่ายขึ้นไหม.." "ฉันจะทำให้..." โอวววเย่ส์ ไซย์ร้องในใจและพยายามทำเป็นกันเองเหมือนเดิม ไม่ทำอะไรตื่นเต้นที่เห็นหล่อนพูดด้วย เพื่อที่หล่อนจะได้ไม่กดดัน หลังพักไซย์และหล่อนนั่งคุยกัน และเล่นกัน เกมส์จากโลกของคนสามัญที่ไซย์พอรู้และชวนเล่น ตอนแรกหล่อนยังขัดเขิน ต่อมาก็ร้องวี้ดว้ายจนไซย์อิจฉาว่าจะสนุกอะไรขนาดนั้นน่ะ ไซย์ชี้ต้นออซต้นนั้นว่าไปเล่นที่นั่นกัน มันสวยเหมือนในนิทานเลย หล่อนจึงได้หันไปมองเป็นครั้งแรกและตกหลุมรักมันทันทีที่เห็น จึงเลือกให้เป็นที่ประจำของหล่อนในการทำงานง่ายๆ คิด เขียน และพักผ่อน ไซย์ก็ชอบเช่นกัน

วันหนึ่งไซย์เล่าเกี่ยวกับตนเองที่ใต้ต้นออซ และแบ่งปันเรื่องราวเศร้าๆในมุมมองของตน พร้อมกับนั่งฟังฝ่ายตรงข้ามเล่าถึงชีวิตตนเองด้วยความเขินอาย ไม่ประติดประต่อ แต่ไซย์ก็สามารถจิตนาการต่อช่วงที่ขาดๆเกินๆได้ด้วยความสามารถเฉพาะตัว 

ไซย์ได้รู้ว่าตนคือคนแรกที่ได้พูดคุยกับหล่อนแบบนี้ และได้ฟังอะไรที่ถือว่ามากสำหรับหล่อนที่จะพูดออกมาให้ใครสักคนฟัง หล่อนให้เหตุผลว่า ความพยายามเข้าหาตัวหล่อนจากไซย์ทำให้หล่อนมองเห็นบางอย่าง และพยายามพิจารณาจนเริ่มใจอ่อนแม้หวาดกลัวปีศาจตัวเล็กๆแบบไซย์ แต่มันสนุกมากที่่ได้พูดคุยและได้ทำอะไรที่เรียกว่า เล่นด้วยกัน ไซย์สอนให้หล่อนรู้จักคำนี้ และหล่อนก็ชอบ

........................................

"เดลล์ ฉันเรียกเธอว่าเดลล์ก็แล้วกันนะ เพราะว่ามันง่ายกว่าการเรียกว่า เดอลี คือหมายถึงง่ายกว่านิดหน่อยน่ะ" ไซย์พูดขึ้น
"อืม แล้วแต่เธอสิ ไม่มีใครเคยตั้งชื่อเล่นให้ฉันแบบสนิทกันมาก่อนเลย" หล่อนบอก
"ก็มีแล้วนี่ไง เดลล์"
หล่อนยิ้มเขินอายให้ไซย์แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป

........................................

หลังจากภารกิจเสร็จสิ้น ไซย์ก็เดินทางกลับบ้าน

เรายังต่างเชื่อมต่อกันด้วยความพอดี ไม่มากเกินหรือน้อยไป จดหมายที่ส่งถึง อีเมลที่ส่งถึง กับร่วมงานกันเป็นบางครั้งหรือหนุนงานให้กันเป็นบางที จนเมื่อถึงจุดเปลี่ยนในชีวิตของไซย์ที่ต้องละทิ้งหลายสิ่งในอีกโลกหนึ่ง และอาศัยอยู่ในอีกโลกที่ปกติธรรมดาของคนทั่วไป การเชื่อมต่อจึงบางเบาลง แต่ไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย เพราะเราต่างมีจุดที่เข้าใจและเหมือนกัน เรารู้ว่าอีกฝ่ายต่างปิด และเปิดตรงไหนในหัวใจของกันและกัน

.........................................
ความเจ็บป่วยที่จิตใจ

ไม่มีใครอยากเจ็บป่วยที่จิตใจหรอก คุณเรียกมันว่าอะไร ความซึมเศร้าหรือ จิตใจที่บาดเจ็บ ไม่ว่าจะอย่างไหนมันก็คือหัวใจหนึ่งดวงของคนหนึ่งคนที่กำลังป่วยทางความรู้สึก แต่ละคนมีความรุนแรงที่แตกต่างกันไป บางคนเรื่องราวอาจเล็กน้อยแต่ความรุนแรงมาก บางคนเรื่องราวมากมายแต่ความรุนแรงน้อย บางคนสู้ไหวทั้งที่เรื่องราวก็มาก ความรุนแรงทางความรู้สึกก็มาก บางคนสู้ไม่ไหวแม้เรื่องราวจะน้อยก็ตาม มันเพราะอะไรเหรอ? เพราะสิ่งรอบตัวไม่เหลืออะไรให้เยียวยา.....

เดอลี ซาร์ หรือที่ไซย์ตั้งชื่อเล่นให้ว่า เดลล์
เป็นสาวน้อยคนหนึ่งที่เจ็บป่วยทางจิตใจตั้งแต่ยังเด็ก เดลล์ปราศจากความรักของพ่อแม่ และไม่ได้เติบโตมาในที่ที่ดีนัก และใช้ชีวิตเพียงลำพังคนเดียวตั้งแต่อายุสิบสามปี เดลล์หวาดกลัวผู้คนและไม่ชอบพูดคุยกับใคร เก็บตัวเงียบและขี้อาย เดลล์ตื่นตกใจง่ายกับทุกสิ่งใหม่ๆและหวาดระแวงเรื่องราวใหม่ๆว่าจะนำพาสิ่งใดมา รวมถึงการสนทนาใหม่ๆว่าจะนำความรู้สึกใดมาสู่ตน กลัวว่าทุกคนจะไม่ชอบและรังเกียจ กลัวทุกสิ่งและอ่อนไหวกับทุกอย่าง เดลล์เก็บตัวอยู่ในห้องพักโทรมๆที่ไม่เคยออกไปไหนไกล นอกจากซื้อของใช้ในร้านสะดวกซื้อหลังเที่ยงคืนที่คนน้อยและบางตา เดลล์ผู้เหงาและเดียวดาย เปล่าเปลี่ยวและซึมเศร้า เธอมักจะรับงานผ่านอีเมลและเครื่องมือเก่าๆโบราณของเธอภายในห้อง ทำและส่งภายในห้อง เดลล์ออกไปทำธุระหรืองานภายนอกได้แต่ต้องทานยาหลายชนิดเพื่อรวบรวมความกล้าต่อการเจอผู้คน เดลล์ผู้น่าสงสาร เธอมีความสามารถมากมายและเก่งหลายด้านเกี่ยวกับตัวอักษรทั้งเก่าและใหม่ ทั้งจากยุคนี้และยุคก่อน เดลล์รักงานนี้มาก เธอรักงานเขียน และอยู่เบื้องหลังงานต่างๆมากมายแต่ไม่เคยได้รับการยกย่องแม้ทุกคนจะรู้และทราบ ก็ใครจะอยากยกย่องคนที่เอาแต่หลบซ่อน คนที่จิตป่วย เดลล์มักคิดแบบนี้และน้อยใจเสมอมา

 เดลล์ร้องไห้บ่อยมากในระยะหลัง และอาการก็ทรุดลงเรื่อยมา เดลล์รับรู้และคิดว่าคงอีกไม่นาน เดลล์คิดแบบนี้เสมอและมักจะพูดกับไซย์ ที่ยึดเหนี่ยวแห่งเดียวของทุกโลกที่เดลล์อาศัยและเกี่ยวข้อง ไซย์คือเพื่อนคนแรกและคนเดียวที่เดลล์รักและให้ใจ ด้วยความที่ไซย์ก็มีหัวใจที่เจ็บป่วยเหมือนกันและมีเรื่องราวร้ายๆมากกว่า เดลล์จึงถือว่านี่เป็นกำลังใจและเป็นตัวอย่าง แม้เดลล์ต้องการหลายอย่างจากไซย์ แต่ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ย หรือบอกว่าไซย์คือเพื่อนคนเดียวที่เดลล์มี เพราะเดลล์รู้ว่าไซย์มีเพื่อนรักอยู่แล้ว จึงพอใจที่ได้เป็นแค่เพื่อนที่ดีของไซย์เท่านั้น

แต่ไซย์ก็ไม่เคยทอดทิ้งเดลล์ ทุกครั้งที่รับรู้ ไซย์จะพยายามช่วยเท่าที่จะทำได้เสมอมา แต่เพราะเดลล์มีความคิด คิดว่าไม่กล้าที่จะใช้ชีวิตต่อ มันผุดขึ้นในใจเสมอ และบ่อยครั้ง เดลล์ร้องไห้บ่อยขึ้นและไซย์ก็เป็นที่พึ่ง ทั้งเรื่องงาน และเรื่องอาหารในตอนสุดท้ายของชีวิตเดลล์ เดลล์ออกภายนอกเพื่อไปพักอยู่กับไซย์และ ได้เดินทางไปทำงานในที่ที่ไกลแสนไกล ก่อนจะล้มเหลวกลับมา นั่นคือจุดเปลี่ยนให้เดลล์จม และดิ่งลงสู่ความมืด รอบตัวเดลล์เปล่าเปลี่ยว ไม่มีสิ่งใดช่วยเยียวยาเดลล์ได้อีกแล้ว ไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัว แม้แต่ไซย์ก็ยังไม่อาจช่วยความรู้สึกที่เหมือนดิ่งลงเหวนี้ได้ ทำไมหัวใจถึงได้กลวง เป็นช่องว่างขนาดนี้ มันลึกและไม่สามารถหาสิ่งใดมาเติมเต็มได้ ทุกอย่างดูสวนทางกับเดลล์ เมื่อเดลล์ไม่รู้จะแก้ไขปัญหาชีวิตอย่างไร อย่างไรที่ไม่ต้องพึ่งพาคนที่กำลังลำบากเช่นไซย์ เดลล์มองดูไซย์เจ็บป่วยและเดินลำบาก แต่ยังคงต้อนรับและปลอบใจเดลล์ที่ไปหา พร้อมมอบอาหารมื้อสุดท้ายให้เดลล์ จากนั้นเมื่อเดลล์กลับห้องพักของตน เดลล์ก็ตัดสินใจได้ เกี่ยวกับชีวิตของตน....

.........................................

กลางดึกที่ไซย์นอนไข้ขึ้นและทุกข์ทรมานอยู่นั้น สายตาได้มองเห็นใครคนหนึ่งนั่งอยู่ปลายเตียง
"เดลล์หรอ.. มาแล้วหรอ.. มาดึกจัง หิวไหม? มีอาหารในตู้เย็นนะ จัดการได้เลย.."
เดลล์ไม่ตอบกลับไซย์ นอกจากยิ้มให้ ไซย์มองดูเพื่อนสาวด้วยความมึน งง และสับสนเพราะพิษไข้
"มีอะไรหรือเปล่าเดลล์" ไซยเค้นเสียงถามออกไป
"ขอบคุณนะไซย์ ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อสุดท้าย มันอร่อยมาก.. เธอทำอาหารอร่อยเสมอเลย"
"ไม่หรอก.. บางครั้งก็ไม่อร่อยนะ ถ้าไม่ได้ชิมเองน่ะ" ไซย์ตอบกลับเดลล์

ไซย์นอนพลิกไปมาอีกครั้งก่อนจะเรียกหาเดลล์ที่เงียบไป แต่กลับไม่เห็นเพื่อนสาวแล้วนอกจากผู้ชายวัยกลางคนที่กำลังช่วยไซย์เช็ดตัว ไซย์จึงถามว่าเห็นเพื่อนสาวของเธอหรือไม่ แต่เขากลับตอบเธอว่า ไม่เห็นและไม่มีใครมาทั้งนั้น ทั้งหมดเป็นอาการเพ้อปกติ เวลาที่เธอมีไข้ขึ้นสูง ตอนนั้นเองที่ไซย์เข้าใจและคิดได้ก่อนจะลุกขึ้น และพูดว่า "ช่วยพาฉันไปหาเดลล์ที"

.........................................

ตอบจบ

ร่างของเดลลี ซาร์ นอนนิ่งด้วยความสงบ

ไซย์ได้จัดการทุกอย่างด้วยแรงกายที่มี ส่วนแรงใจไซย์ไม่ได้ใส่ใจมากนักว่ามีเท่าไหร่ คนเรามักทำอะไรได้เกินตัวเสมอนั่นแหละ คิดอย่างนั้นแล้วไซย์ก็ทำทุกสิ่งต่อไป

ไซย์ได้ฉีดยาเพื่อไม่ให้ร่างกายของเดลล์เน่าเปื่อย และฉีดยาที่ไม่ทำให้ร่างกายของเดลล์แข็งจนเกินไป ไซย์ถอดเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนคราบน้ำลายและอาเจียน รวมถึงปัสสาวะและอุจจาระตัวเก่าของเดลล์ออกและยัดใส่ถุงขยะสีดำ จากนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งก็เข้ามาช่วยไซย์โดยการอุ้มร่างที่เปล่าเปลือยของเดลล์ขึ้นมา และพาไปห้องน้ำในห้องของเดลล์ ก่อนที่ไซย์จะทำความสะอาดร่างกายของเดลล์ด้วยการอาบน้ำให้สะอาดเท่าที่จะทำได้ (ไซย์ไม่ได้เลือกวิธีเช็ดตัวเพราะหลายสาเหตุ ไม่ขออธิบายเพราะน่าจะเดากันได้) จากนั้นชายหนุ่มที่คอยอยู่ก็ช่วยอุ้มร่างที่เปล่าเปลือยของเดลล์ขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะพาไปที่เตียงนอน ซึ่งตอนนี้ปราศจากคราบสกปรกก่อนหน้าแล้ว เนื่องจากหญิงสาวผมแดงคนหนึ่งได้ดึงผ้าปูเตียงออกและจัดการที่เหลือด้วยความรวดเร็ว ชายหนุ่มวางร่างของเดลล์ลงบนเตียง จากนั้นไซย์ก็เช็ดตัวเดลล์ ก่อนจะไปหารื้อเสื้อผ้าในลังที่ยังไม่ได้เปิดตอนย้ายเข้าหอพักมา และในตู้เสื้อผ้า แต่ก็ยังไม่ถูกใจจนถูกทักว่าให้รีบเร่ง

แต่เพราะไซย์ยังมีขาที่ไม่แข็งแรงและทำอะไรไม่สะดวกมากนักจึงล่าช้า ชายหนุ่มที่ยืนมองอยู่จึงเข้ามาช่วยแล้วถามไซย์ว่าต้องการเสื้อผ้าชุดไหนหรือเปล่า ไซย์ตอบว่าต้องการตัวสีครีมเก่าๆที่ถักมือแบบยุคเก่าๆ กับผ้าคลุมไหล่สีเหลือง แล้วก็กระโปรงสีครีมที่ยาวๆถึงข้อเท้า เมื่อไซย์อธิบายจบ หญิงสาวผมสีแดงก็เอ่ยขึ้นให้รู้ว่าอยู่ตรงไหน ชายหนุ่มจึงจัดการหาแทนไซย์ที่ยืนสั่นไหวไปมา เมื่อได้แล้วทั้งไซย์และหญิงสาวผมแดงก็ช่วยกันสวมใส่เสื้อผ้าให้เดลล์จนเรียบร้อย จากนั้นไซย์จึงหวีผมให้เดลล์อีกครั้งก่อนจะจัดร่างกายของเดลล์ให้นอนหงายอย่างสงบนิ่งบนเตียง

ไซย์นั่งลงข้างๆร่างที่ไร้วิญญาณของเพื่อนสาว มองดูผิวที่ซีดจนเป็นสีขาวอมเทา ร่างกายที่ผ่ายผอม ดวงตาที่ดูโปนภายใต้เปลือกตาที่หุ้มปิดอยู่ และเล็บที่มีสีเขียวคล้ำอมม่วง

จากนี้ก็รอเคลื่อนย้ายศพของเดลลี ซาร์
ไซย์คงต้องพึ่งพาพ่อของชายหนุ่ม เพราะคิดว่าไม่มีทางไหนจะสะดวกและเรียบร้อยดีที่สุดแล้ว อีกอย่างเดลล์เองคงจะดีใจ ถ้าคนที่เคยรู้สึกดีด้วยในช่วงสั้นๆมีส่วนช่วยในเรื่องนี้ ไซย์จะต้องจัดการของทุกอย่างของเดลล์และอื่นๆ ไซย์คิดว่าตัวเองเหนื่อยล้าและทุกข์ใจมาก แต่ไซย์ก็กลับนั่งอยู่เฉยๆ

ก่อนจะมีมือมาแตะที่ไหล่เบาๆ ไซย์เงยหน้าขึ้นไปมอง ก่อนจะน้ำตาไหล และมันก็ไหลไม่หยุด จากมือที่แตะไหล่เบาๆ ก็กลายเป็นการกอดจากข้างหลังที่หนักแน่น นี่คงเป็นกำลังใจสินะ กำลังใจแบบที่เดลล์ไม่อาจมี ยิ่งคิดไซย์ก็ยิ่งเจ็บปวด เจ็บปวดจนอ้อมกอดนั้นเริ่มร้อนฉ่า

..............................................

เดลล์สั่งเสียในจดหมายว่าต้องการให้นำเถ้ากระดูกของเธอไปฝังไว้ที่ใต้ต้นออซของหอสมุดคิลส์ ไซย์ยืนพูดบนดาดฟ้า ชายหนุ่มรับฟังก่อนจะพูดว่าที่นั่นคงสวยงามมาก และคงอยู่ไกลมาก มันคงมีค่าในความทรงจำสำหรับเดลล์ใช่ไหม ไซย์ยิ้มก่อนตอบว่า อืม มันไกลแสนไกลมากเลย แถมยังสวยงามมากเลยนะ มันเป็นที่ที่ฉันกับเดลล์รู้จักกันเป็นครั้งแรกน่ะ ชายหนุ่มหลับตาและลองจินตนาการก่อนเอ่ยว่า ตัวเขาคงไม่มีทางได้เห็นสถานที่นั้น ไซย์จึงบอกว่า ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก ชายหนุ่มคงอยากแย้งตรงๆว่า มันไม่ใช่ที่สำหรับคนสามัญแบบเขามากกว่า แต่ก็คงไม่กล้า ซึ่งไซย์ก็คิดว่าดีแล้ว เพราะตอนนี้ยังไม่เหมาะสมนัก

ไซย์คิดเสมอว่า เดลล์ไม่ได้รักตน นอกจากรู้สึกดีด้วย ทั้งที่เดลล์นั้นรักเสมอมา แต่ไม่กล้าพูดและขออะไรมากจากไซย์ ไซย์จึงรู้สึกอ้างว้างและคิดว่าตนนั้นทำไม่ดีพอกับเดลล์

.............................................

ณ หอสมุดคิลส์
จดหมายฉบับเร่งด่วนถูกส่งมาจากปีศาจตัวเล็กๆที่มีชื่อเสียง นามว่า ไซย์ลี่ หรือเรียกสั้นๆว่า ไซย์ มันถูกผลึกด้วยตราเฉพาะของเธอ หลังจากดิรอยด์ผู้นำสูงสุดของคิลส์แกะจดหมายออกจากซองด้วยมือที่สั่นเทา ทันทีที่อ่านจบเขาก็อุทานด้วยความตกใจระคนเสียดาย พลางคิดว่าหนุ่มสาวยุคนี้ทำไมถึงคิดอะไรง่ายนักในเรื่องของความตาย

ภายในหอสมุดคิลส์ ผู้คนต่างสวมชุดดำ และผนังสำหรับจารึกทั้งในและนอกปราสาทตอนเหนือถูกประดับด้วยอักขระสวยงามที่มีความหมายว่า "ระลึกถึง เดอลี ซาร์ ผู้สร้างและคุ้มครองอักขระของยุคเรา" และที่ทางเข้าหอสมุด ภาพวาดสีน้ำ ที่วาดอย่างเร่งด่วนถูกทำขึ้นและประดับไว้หน้ากำแพงจารึก มันคือภาพของ เดอลี ซาร์ พร้อมประวัติและผลงานหลักๆของเดอลีที่ถูกเขียนอยู่ข้างใต้รูป

เดอลี ซาร์ วัย 25 ปี
.
ผู้ช่วยสร้างอักขระรอมมัล ปี 2002
ผู้ช่วยแปลและถอดความอักษรรูนระดับแปด
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการคิดค้นวิธีสร้างแผนที่เซ้าค์มอลติน 2011
ผู้ถอดความบทฮันซาร์ที่มีอายุ สองพันปี
ผู้ที่ริเริ่มวิธีคิดเลขด้วยอักษรมีร์อย่างย่อ
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการแปล-แก้ไขแผนที่ต่างๆมากมาย เช่น
-แผนที่ปราสาทเดอลาฟรอนซ์ จากฉบับดั้งเดิมเป็นภาษาปัจจุบัน
-แผนที่หอสมุดคิลส์จากภาษาดั้งเดิมเป็นภาษาปัจจุบัน
-แผนที่อารยธรรมของชนเผ่านาร์
-แผนที่หอดูดาวและศาสตร์มืดของ เนท รีมัส
และอื่นๆที่ไม่ได้กล่าวถึง
ทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ร่วมทำภารกิจ โดซัคร์ ของ ฟาร์ยัว ร่วมกับไซย์ลี่และทีมของคิงส์
ทั้งยังร่วมแปลและถอดความสำคัญของหนังสือเรียนสำหรับนักเรียนรุ่นเยาว์ ตลอดเรื่อยมา
รวมถึงผลงานอื่นๆที่ไม่ได้กล่าวถึง
...
(ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะไซย์ ก็จะใครอีกล่ะ..)

ไซย์คิด และตั้งใจที่จะให้เป็นแบบนี้ แม้จะต้องบังคับขู่เข็ญกันก็ตาม แน่นอนว่าในจดหมายที่ไซย์เขียนถึงหอสมุดคิลส์นั้น มีคำขอ และข้อบังคับที่ไซย์ขอร้องให้ทำโดยให้เหตุผลที่อาจทำให้คนที่เป็นความดันโลหิตสูงอย่างดิรอยด์ มีความเสี่ยงที่ความดันจะขึ้นสูงไปอีกหน่อยหลังจากอ่านจดหมายจบ 

ไซย์ยังแนบข้อความและรายละเอียดผลงานของเดลล์มาพร้อม ซึ่งต้องขอบคุณเพื่อนเก่าแก่ ณ หอสมุดแห่งหนึ่งที่ช่วยเรียบเรียงให้อย่างเร่งด่วน มันคงจะดี ถ้าการจากไปของเดลล์มีความสำคัญ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเดลล์ถูกมองข้ามเพราะหลายอย่าง ทั้งความเจ็บป่วย สถานะ และไม่มีพื้นฐานทางสังคม เดลล์อาจสร้างมันได้หากไม่กลัวผู้คนตั้งแต่ตอนแรกที่เริ่มทำงาน แต่เดลล์กลับไม่ทำ ไม่ยอม ไม่สร้างฐานสังคม เหมือนกับที่สร้างผลงาน มันจึงทำให้เดลล์อยู่ในที่แคบด้วยความน้อยใจ หลายผลงานที่ไม่มีชื่อเดลล์เพียงเพราะเดลล์ไม่เรียกร้องไม่ได้แปลว่าไม่ต้องการ หากแต่เดลล์ไม่กล้า ชื่อของเดลล์ไม่เคยโดดเด่นเลย แม้หลายงานจะมีชื่อ แต่หลายงานก็กลับไม่เปิดเผย มันอาจถูก เพราะบางภารกิจจะไม่เปิดเผยรายชื่อผู้ที่ทำภารกิจ แต่อย่างน้อยตอนนี้ไซย์ก็ได้ทำให้เดลล์มีชื่อในที่ที่ควรจะมี มีหลายคนพูดว่า คนนี้เองเหรอที่เป็นคนทำ... คนนี้เอง.. ออใช่ๆ... และอื่นๆหลังจากนั้นไม่นาน รวมถึงยังมีหอสมุดอื่นๆอีกหลายที่ ที่ร่วมรำลึกถึง เดอลี ซาร์ ดั่งที่ไซย์วางแผนเอาไว้ แถมยังดีเกินคาดเพราะไซย์ตั้งใจทำแค่เพียงหอสมุดคิลส์เท่านั้น แต่มันก็ดีแล้ว มันสมควรอย่างยิ่งที่-ที่อื่นก็ควรรับรู้ เพื่อนเก่าที่เคยทำภารกิจด้วยกันก็มีส่วนช่วยในเรื่องนี้เช่นกัน ต้องขอบคุณพวกเขาที่มีน้ำใจต่อเดลล์ ถ้าเดลล์รับรู้คงดีใจ ต้องดีใจอยู่แล้ว

.............................................

"เฮ้ออออ เสร็จสักที" ไซย์ถอนหายใจยืดยาว แล้วใช้นิ้วมือที่เย็นเฉียบกดลูกตาที่แสนจะปวดร้าวเบาๆทั้งสองข้าง ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆถามขึ้น "เขียนเรื่องของเดลล์เหรอ ทั้งๆที่สายตาเธอแย่ลงมากขนาดนี้มันไม่ควรมานั่งจ้องจอคอมแบบนี้เลย แถมยังหยอดตาบ่อยมากเพราะมันปวดใช่มั้ย" ไซย์ฟังชายหนุ่มที่นั่งข้างๆพูดกับตน เขาพูดมากขึ้นนะช่วงนี้ ซึ่งก็ถือว่าดี "ก็ฉันอยากรีบบันทึกเรื่องราวของเดลล์ให้เป็นที่จดจำ ก่อนจะพักสายตายาวๆจากนี้" เขาพยักหน้าและมองหน้าเธอ เธอถามว่ามีอะไร เขายิ้มแล้วตอบว่า "เปล่า แค่แปลกใจที่มองหน้าเธอนานๆได้แล้วก็เท่านั้น" ไซย์ได้ยินแบบนั้นจึงหัวเราะตอบเสียงดัง

ก็คงเพราะเวลามันเดินหน้า อะไรๆมันก็ต้องเปลี่ยนจากเดิม

........................
ep* 2
.
.
...........................................................................................................
🍃🌸🍃🌸🍃🌸🍃
©salinsiree
If you have any questions, or would like to talk, contact me!
salinsiree.witchy@yahoo.com

(เรื่องสั้น) ส่วนหนึ่งที่เล็กๆของเธอ

ฉันไม่รู้ว่าตัวเองสามารถทนต่อการถูกทรมานมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร มันเริ่มชินและชาตั้งแต่ตอนไหน หรือใครคือคนแรกที่ทรมานฉัน จำได้เพียงมันคือหนทางที่ฉันเดินมาและคงอยู่ แม้จะหาหนทางออกไปได้แต่ปลายทางก็ยังคงเหมือนเดิม คงมีความทรมานอยู่เช่นเดิม

ถ้าเข้าใจในสิ่งที่ฉันบอกคงคิดว่าฉันเป็นหญิงสาวผู้มีความทุกข์อยู่รอบตัว ความเจ็บปวดอยู่ภายใน และมีกลิ่นไอที่หม่นหมองเกินไป

ใช่ ใครๆก็พูดอย่างนั้น แม้บางครั้งฉันจะไม่รู้ตัวเลยก็ตาม ว่ากำลังมีอาการที่แสดงออกถึงความซึมเศร้าเล็กๆน้อยๆ มนุษย์ทั่วไปคุ้นชินกับความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกันกับตน และไม่มีความสนใจในนิสัยเพื่อจำแนกบุคคลนั้นคนนี้แบบจำเพาะว่าใครเป็นอย่างไร อาจยกเว้นบางคนที่มีความรักให้อีกคนมาก จนรู้สึกถึงอีกฝ่ายได้ทุกๆอย่างแม้อีกฝ่ายเก็บสิ่งต่างๆลงลึกเอาไว้ภายใน แต่พวกคนอย่างเรา อย่างอีกโลกหนึ่งมักแตกต่างเสมอ บางคนสัมผัสหัวใจอีกคนหนึ่งได้เพียงแค่เดินผ่าน เพียงแค่สวนทางกัน แม้ไม่รู้จักกัน แม้ไม่รักกัน

คำถาม ตอนนี้ฉันอยู่ที่ใด
คำตอบ ฉันอาศัยอยู่ในโลกของคนปกติ แต่มักใช้ชีวิตในอีกโลกที่ไม่ปกติ

การแบ่งแยกเหล่านี้ทำให้ฉันไม่เคยเป็นปกติสุขได้ ราวกับชิ้นส่วนของจิตวิญญาณไม่เคยสมบูรณ์ เมื่อคุณอยู่อีกที่ แต่ความคิดของคุณอยู่อีกแห่ง และเมื่อคุณหายใจอยู่อีกแห่ง แต่หัวใจของคุณกลับเต้นสั่นไหวอยู่อีกที่ สิ่งเล็กๆเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กลงมาเมื่อเวลาทำให้ฉันชินชา แต่มันก็สร้างบาดแผลระยะยาวเอาไว้มากมาย ตอนที่เมื่อฉันยังเพิ่งเริ่ม ฉันก็คงเป็นได้แค่สิ่งที่ไม่เคยตั้งตัวอะไรได้ทัน ล้มทั้งยืนกระทันหันอยู่เสมอ กว่าจะปรับตัวได้ก็กลายเป็นสูญเสียอะไรมากมาย ทำหลายอย่างหายไปเกือบหมด ที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็มีเพียงเศษชิ้นส่วนเก่าๆของฉันที่แตกสลายมานับไม่ถ้วน ฉันค่อยๆเก็บมันเอาไว้แต่ไม่เคยคิดจะลองต่อติดชิ้นส่วนเหล่านั้นให้คงเดิม เพราะมันไม่จำเป็น แค่เก็บมันเอาไว้ก็พอ

สิ่งที่ฉันรัก สิ่งที่ฉันสนิทใจมักอยู่อีกโลกหนึ่งเสมอ ทำให้อีกโลกหนึ่งของฉันไม่มีอะไร ไม่มีอะไรมากนัก และบ่อยครั้งก็ว่างเปล่า แต่ฉันก็ไม่ได้พูดอะไร อะไรที่จะทำให้มีผลต่ออีกโลกหนึ่งของฉัน ฉันยอมรับนั่นนี่จนเป็นนิสัยและไม่บ่นอะไรยามที่สมควรต้องตัดพ้อชีวิต

เพราะฉันคิดว่าชีวิตที่บัดซบของฉันนั้นมีค่าในแบบของมัน คนเรามีหลายเรื่องนักที่ต้องชดใช้ให้กับหลายสิ่งที่ได้ทำลงไป ไม่ว่าจะเมื่อไหร่หรือผ่านมานานแค่ไหนแล้วก็ตาม ไม่ว่าจะจดจำได้หรือไม่เคยจดจำ ทุกสิ่งล้วนมีเหตุผลให้เกิดเสมอ ฉันได้เรียนรู้และพบเจอสิ่งต่างๆมากมาย มากกว่ามนุษย์ทั่วไปจะเข้าใจและหยั่งถึง มากกว่ามนุษย์ทั่วไปจะมีโอกาส คุณคิดว่ามันอาจทำให้โลกของคุณมีปัญหา คิดว่าเรื่องจากอีกโลกทำให้เด็กสาวคนหนึ่งต้องมีชีิวิตที่แตกสลายและไม่ปกติสุขอีก แต่คุณเคยถามเด็กสาวหรือยังว่าเธอคิดอย่างไร เธอคิดอะไรยามที่ร้องไห้และนำตาไหลอาบแก้ม เธอคิดอะไรเวลาที่เธอซึมเศร้าและเจ็บป่วย อาจเจ็บปวด หรือเคียดแค้น ชิงชัง หรืออาจปล่อยวาง ไม่มีใครรู้ นอกจากเธอที่รู้ นอกจากฉัน

บ่อยครั้งฉันก็หาทางเยียวยาตนเอง และทำทุกอย่างปกติ มันไม่ได้ช่วยมากนักเพราะหลายสิ่งที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่กระนั้นฉันก็คิดว่ามันดี ดีบ้าง ลืมได้บ้าง นึกออกบ้าง ลืมไปบ้าง บางครั้งก็สนุก อาจไม่สามารถสร้างมิตรภาพระยะยาวหรือพูดคุยกับใครได้จริงจังกับใครแต่ถ้ายอมรับมันได้ ก็แค่อยู่กับมันไป เรื่อยๆ เวลาจะทำให้ความชินชาช่วยฉันในหลายๆเรื่องเหมือนที่เคยช่วยมา ฉันยังคงแปลกแยกและไม่เป็นตัวเองในโลกของคนปกติ แต่ก็ยังอยู่ได้และเรียนรู้ไปเรื่อยๆพร้อมๆกับเวลาที่มีให้ สำหรับอีกโลกที่ฉันเอาชีวิตไปใช้จนมีเรื่องราวมากมายก็ยังคงเกาะติดอยู่กับฉันเสมอ เป็นความสามารถของฉันที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสองสิ่งที่แตกต่าง ฉันอาจดุร้าย ปราดเปรื่องในโลกที่เหมาะกับฉัน แต่พอกลับมาอีกโลกหนึ่งฉันก็ต้องเป็นคนธรรมดาและไม่มีอะไร ออกจะดูไร้ค่าด้วยซ้ำไป บ้างก็ดูโง่เง่า บ้างก็ดูมอมแมม บ้างก็เป็นที่อคติของบางคนที่ไม่ชอบหน้าฉันโดยไม่มีสาเหตุใดๆ แต่นั่นแหละชีวิตที่ธรรมดาของมนุษย์ที่ฉันจะมีได้เวลาอาศัยอยู่ในโลกที่ปกติ ส่วนเวลาที่ฉันอาศัยอยู่อีกโลกหนึ่งที่สามารถเป็นตัวเอง ได้ คนปกติจากโลกที่ธรรมดาคงคาดไม่ถึงกันหรอกว่าความเป็นตัวของตัวเองในแบบฉันนั้นแท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไร... ซึ่งฉันก็ดีใจที่ดูโง่เง่าในสายตาของพวกเขา พวกเขาไม่รู้อะไร คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วล่ะมั้ง

.......................................................................................................
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มนั่งลงเคียงข้างกับหญิงสาวผอมบางคนหนึ่ง ในห้องพักที่มีกลิ่นของยาสมุนไพร ยาต้มและสมุนไพรแห้งหลากชนิด มันไม่เข้ากันกับห้องสีขาวทันสมัยนี้ แต่พอหลายวันผ่านมาเขาก็เริ่มชินและพูดลอยๆว่าชอบอยู่บ่อยครั้งให้เธอฟัง อาจเพราะว่าเขาชอบมองเธอเคลื่อนไหวและทำสิ่งต่างๆอยู่ในห้องนี้ ชอบที่เธอเดินตรวจเมล็ดสมุนไพรต่างๆ ชอบที่เธอค่อยๆก้มมองน้ำต้มเดือดในหม้อ ชอบที่เธอค่อยๆใช้มือกำยาที่ตากแห้ง ชอบที่เธอค่อยๆใช้นิ้วเรียวยาวเขี่ยเมล็ดยาต่างๆเพื่อกะปริมาณสำหรับปรุง ชอบมองเธอยามเผลอเวลาหั่นหัวสมุนไพรต่างๆหรืออ่านหนังสือปรุงยาหรือความรู้เกี่ยวกับมัน เธอดูเป็นตัวเองเหลือเกินเมื่อได้อยู่กับสิ่งที่ตัวเองชอบ ดูมีมนต์ขลังน่ามอง ดูแตกต่าง บางครั้งผมก็คิดว่าเธอหน้าตาและรูปร่างเปลี่ยนไปเวลาที่ได้ทำ จับ หรือสัมผัสอะไรที่เป็นตัวเอง แต่เพราะสิ่งต่างๆในช่วงนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าควรเฉย และเงียบ เมื่อเห็นสิ่งใดที่ดูไม่ธรรมดากว่าที่คนเราจะเข้าใจ พอทำได้เช่นนั้น ก็เหมือนผมได้เข้าไกล้เธอมากขึ้น ผมบอกเธอทุกวันที่มีเวลาอยู่ด้วยกันว่าผมชอบอะไรบ้างเกี่ยวกับเธอในช่วงนี้ เธอพยักหน้ารับและตอบรับว่าชอบตัวเองเช่นกัน แม้จะมีเรื่องแย่ๆในตอนนี้ก็ยังพอมีเวลาได้ทำสิ่งเหล่านี้บ้าง และผมรู้ว่าเราจำเป็นต้องเจอเรื่องทีี่แย่กว่านี้ในอีกไม่กี่วัน แต่เราก็แค่รอ ระหว่างรอเราก็แค่ใช้ชีวิตให้ปกติที่สุด

"เธอคิดว่าตัวเองอ่อนแอหรือเปล่า" ผมถามเธอ หลังจากที่ขอให้เล่าเกี่ยวกับส่วนหนึ่งเล็กๆจากเธอ
"ก็ใช่นะ ฉันอ่อนแอมากๆในบางเรื่อง บางเรื่องก็เข้มแข็งได้แม้จะทุกข์ทรมาน ฉันคิดว่ามันขึ้นอยู่กับตัวเรา ว่าจะถนัดใช้ด้านไหนมากกว่า.. หรือใช้บ่อยแค่ไหน ทุกคนมีสองสิ่งนี้นะ อ่อนแอ-เข้มแข็ง แค่บางคนอาจใช้ด้านในด้านหนึ่งบ่อยเกินไป อีกด้านเลยดูเหมือนไม่มีหรือซุกซ่อนอยู่ภายใน"
"ฉันคิิดว่าเธอแกร่งมาก คำๆนี้เหมาะสมกับเธอมากที่สุดเลย รู้มั้ย"
เธอยิ้มบางๆตอบ แลดูเหนื่อยล้า
"ถ้าเป็นฉัน คงไม่สามารถทนต่ออะไรในหลายๆสิ่งที่เธอทน ฉันคงผ่านมันมาไม่ได้เหมือนที่เธอผ่านมา ไม่ก็คงจบชีวิตตนเอง.." ผมบอก
"นี่ มองฉันสิ" เธอพูดขึ้น
และเขาหันมามองเธอ มองดูเธอจ้องตอบด้วยแววตาที่เหนื่อยล้าเหลือเกิน
"ฟังนะ.. ถึงจะรอดมาได้ แต่ก็ไม่สมบูรณ์ ผ่านมาได้แต่ก็เสียอะไรไปมาก เหมือนคนเราไปออกรบด้วยความรู้สึกทั้งห้า พอกลับมา.. หมายถึงสามารถรอดกลับมาได้น่ะ แต่ความรู้สึกทั้งห้ากลับเหลือเพียงแค่หนึ่ง.. รู้มั้ย" เธอจับแขนผมเบาๆ "นายเป็นคนดีเหลือเกิน และมันดีมากที่ไม่ต้องไปผ่านอะไรแบบนั้น แบบที่ฉันผ่านมา มันอาจทำให้นายไม่เป็นนายแบบตอนนี้ ฉันอาจไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ และมองดวงตาของนาย" เธอเอื้อมมือมา สัมผัสดวงตาของผมอย่างแผ่วเบา "นายมีดวงตาที่อบอุ่นเหลือเกิน ดวงตาของคนที่ใส่ใจอยู่ตลอดเวลา... รักษามันไว้แบบนี้ตลอดไปนะ" เธอพูดด้วยเสียงที่สั่นเคลือ มันทำให้หัวใจของผมรู้สึกสั่นไหวไปด้วย ผมบีบมือเธอแน่นๆเป็นการยืนยันคำตอบว่าจะรักษามันเอาไว้
"และ เธอก็ต้องอยู่ให้ฉันมองเห็นแบบนี้ไปนานๆนะ จะได้มั้ย?" ผมพูด
..
แต่เธอไม่ได้ตอบกลับมา

แค่มองมา แล้วยิ้มให้อย่างที่เคย
เธอพิงไหล่ของผม และผมกอดเธอเอาไว้แน่นๆ เราต่างให้กำลังใจกัน ในแบบของเรา เธอพูดว่าดีใจที่มีผมเป็นเพื่อน ทั้งที่ผมนั้นดีใจมากกว่าที่เธอพูดคำนั้นออกมา เหมือนว่าเธอยอมรับผมให้ได้เป็นเพื่อนของเธอ

ความเหนื่อยล้าของวันนี้จะหายไป ผมบอกเธอ และเธอปฎิเสธอย่างรวดเร็วว่า ไม่จริงหรอก ก่อนจะหัวเราะเบาๆ และมันทำให้ผมหัวเราะไปด้วย ผมจึงให้เธอนอนพัก ไม่ต้องกังวลสิ่งใด ผมจะอยู่ตรงนี้ตอนที่เธอพักผ่อนเอง ก่อนจะลูบผมเธอเบาๆให้เธอเข้าใจ

และบอกเธออีกครั้งว่า มันจะค่อยๆหายไป..
และครั้งนี้เธอไม่ได้ค้าน

.
.
...........................................................................................................
🍃🌸🍃🌸🍃🌸🍃
©salinsiree
If you have any questions, or would like to talk, contact me!
salinsiree.witchy@yahoo.com

(เรื่องสั้น) mission of sily ภารกิจของไซลี่ : ตอนพิเศษ - วันเกิดของฉัน

ปัจฉิมบท
............................
ท่ามกลางกองเลือดสีแดงที่ไหลนองและเศษเนื้อจากชิ้นส่วนต่างๆที่กระจัดกระจายเป็นจุดเล็กๆบนพื้นสีขาวเหล่านั้น โดดเด่น ทุกอย่างย่อมโดนเด่นบนพื้นฐานสีขาว คุณจะแต่งเติมสีใดลงบนสีขาวก็ได้มันย่อมโดดเด่นหากสีนั้นเข้มและแข็งแรงพอ เฉกเช่นตอนนี้ สีแดงฉานบนสีขาว..

ท่ามกลางกองเลือดสีแดงที่ไหลนอง บางชิ้นส่วนใหญ่ บางชิ้นส่วนเล็ก บางชิ้นส่วนเกือบสมบูรณ์ แต่บางชิ้นส่วนก็ขาดหาย น้อยเกินไปที่จะดี และมีมากเกินไปที่ใช้ไม่ได้ แต่กระนั้นก็ยังมี..

ท่ามกลางกองเลือดสีแดงที่ไหลนองและเศษเนื้อ-ชิ้นส่วนต่างๆที่กระจัดกระจายเป็นจุดเล็กๆบนพื้นสีขาวเหล่านั้น มีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว.. บางอย่างที่มีสีดำแปลกแยกปกคลุม.. มันเคลื่อนไหวช้าๆอย่างบิดเบี้ยวและโหยหา โหยหาสิ่งมีชีวิตที่ยังคงเหลือจากกองเลือดเหล่านั้น..

ร่างของเด็กสาวผ่ายผอมคนหนึ่งกำลังเคลื่อนไหว หล่อนผอมบางมีเพียงเนื้อหนังน้อยนิดหุ้มกระดูก ผมของหล่อนยาวและมันมีสีดำ ดำเฉกเช่นสีของนัยน์ตาหล่อน สองแขนของหล่อนห้อยตกลงเหนื่อยล้าไหล่ลู่ห่องุ้ม คอที่อ่อนแอจนไม่อาจเชิดชูส่วนที่อยู่บนสุด และขาที่เล็กทั้งยังสั่นไหวสองข้างนั้นใช้งานได้ไม่ดี ฝั่งซ้ายที่อ่อนแรงคอยรับน้ำหนักแทนฝั่งขวาที่ไม่อาจรับน้ำหนักได้มาก หลังของหล่อนห่อ-งองุ้มเพราะความเจ็บป่วยภายในตัว ภายในท้อง ภายใต้ซี่โครงเหล่านั้น คลื่นซี่โครงที่เคลื่อนไหวผ่านผิวหนังชั้นนอกที่บอบบาง บางเสียจนเห็นการเคลื่อนไหวของกระดูกที่อยู่ข้างใต้ หล่อนพาร่างที่บิดเบี้ยวนี้เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า มองดูให้เหมือนเอียงไปเอียงมา มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่มีกองเลือดสีแดงฉานแผ่กว้างอยู่เบื้องหน้า สีดำแปลกแยกปกคลุมหล่อนอีกครั้งเป็นหนึ่งเดียวที่เติมเต็ม

สองเท้าที่เปล่าเปลือยไม่มั่นคงและเย็นเฉียบนั้น ค่อยๆออกก้าวเดินทีละข้าง.. ทีละข้าง.. ช้าๆ.. และเมื่อก้าวแรกได้จมลงบนกองเลือด เมื่อผิวหนังได้สัมผัสความเย็นชื้น-ที่เหนียวเหนอะและเข้มข้นเบื่องล่าง หล่อนจึงหยุดนิ่งและลืมตาที่ไกล้หลับไหลมองดูโดยไม่ต้องก้มมากนัก ก่อนจะลากขาอีกข้างหนึ่งตามมาและยกขึ้นเพื่อให้ปลายเท้าก้าวเข้ามาจมกลองเลือดสีแดงฉานนี้ มันจึงเป็นก้าวที่สอง.. และก้าวต่อๆมา.. หล่อนเดินช้าลงและหยุดเป็นระยะ.. ระยะ.. หล่อนเดินและค่อยๆลากขาทีละข้าง.. ทีละข้าง.. สองเท้าที่เคยเปล่าตอนนี้ถูกชะโลมไปด้วยสีแดงฉานของเลือด มันห่อหุ้มเท้าที่บอบบางของหล่อนและเกาะติดยามที่เคลื่อนไหว เหนอะหนะ เย็นชื้น และคาวคละคลุ้ง หล่อนเอียงคอมองหา ค่อยๆมองหาทั้งซ้าย และขวา หล่อนฟังราวกับจะมีเสียงใดเกิดขึ้น หล่อนลากเท้าที่แทบใช้การไม่ได้นั้นมาเรื่อยๆและบางครั้งก็ค่อยๆใช้เท้าเขี่ยบางเศษของชิ้นส่วนนั้น ส่วนนี้ ออกไปให้พ้นทางของหล่อน ก่อนจะหยุด..

เมื่อเสียงหนึ่งถือกำเนิดขึ้นจากมุมใดมุมหนึ่งท่ามกลางกองเลือดเหล่านี้ หล่อนเสยผมที่ปรกหน้าออกช้าๆ และเอียงคอหันตามเสียงที่ได้ยิน เสียงสะอึกเบาๆคล้ายสำลักอากาศหรือบางอย่างกำลังปริออกแตกแยก หล่อนค่อยๆเผยยิ้มที่ดูไม่เหมือนร้อยยิ้มนั้น แล้วออกเดินโดยลากขาทีละข้างที่จมกองเลือดและเศษชิ้นส่วนต่างๆ เสียงเท้าที่จมแล้วถูกดึงขึ้นจากของเหลว ฟังดูเป็นเสียงที่น่าขยักแขยง เป็นเสียงเดียวท่ามกลางความเงียบสงัดเหล่านี้ อีกนิด..หล่อนคิดอยู่ในใจ เห็นแล้ว..หล่อนคิดอยู่ในใจ เจอแล้ว..หล่อนหัวเราะอยู่ในใจ.. บางร่างที่ดูเหมือนปริแยก-แตกออกนอนนิ่งอยู่ในสายตาหล่อน แต่หากมองให้ดีจะเห็นการเคลื่อนไหวขึ้นลงช้าๆ และเพราะว่าหล่อนกำลังมองให้ดี.. เมื่อมั่นใจหล่อนจึงค่อยๆออกเดินลากขาที่บิดเบี้ยวและร่างที่บิดเบี้ยวของหล่อน มุ่งหน้าตรงไปยังร่างนั้น.. และเมื่อไกล้ถึง หล่อนจึงหยุด นิ่งและหายใจเข้า-ออกช้าๆ  สองมือน้อยๆค่อยกำและคลายออกช้าๆ สองขาที่สั่นไหวไม่มั่นคงก็ค่อยๆยืนหยัดเพื่อให้ตรง มั่นคงและไม่สั่นไหว หลังที่ห่อ-งองุ้มก็ค่อยๆยืดและไหล่ที่ค่อยๆผายออกทำให้คอที่อ่อนแอนั้นตั้งตรงเชิดชูส่วนที่อยู่บนสุด หล่อนเงยหน้าและหายใจเข้า-ออกช้าๆอีกหลายครั้ง และเมื่อมั่นใจว่าร่างของหล่อนที่ยืนหยัดอยู่ตรงนี้ไม่บิดเบี้ยวแล้วจึงออกเดินต่อ อีกเพียงไม่กี่ก้าว ก็ถึงที่หมาย

หล่อนหยุดและปรายตามองลงไปยังร่างที่อยู่ปลายเท้าของตนโดยไม่ต้องก้มให้มาก หล่อนยืนนิ่งสงบและพิจารณาร่างนั้น.. เป็นร่างที่ไม่สมบูรณ์ บางชิ้นส่วนขาดหาย ที่ไม่หายก็บิดเบี้ยวยิ่งกว่าหล่อน มันถูกอาบไปด้วยเลือดกลายเป็นร่างที่ดูเละเทะ สกปรก ใบหน้ายับย่นไม่ประติดประต่อ ผมเผ้ารุงรัง-จับก้อนเพราะความชื้นแฉะของเลือดที่ย้อมเส้นผมของร่างนั้น ดวงตาทั้งสองตอนนี้เหลือเพียงหนึ่ง ลำคอมีรอยบากที่ดูยากว่าลึกหรือไม่และเพราะเลือดที่ชุ่มหนาอยู่ตรงจุดนั้นจึงยากจะคาดเดา หล่อนยืนพิจารณาร่างนี้อยู่สักพัก ก่อนจะยกขาขวาที่อ่อนแรงกว่าข้างซ้ายขึ้นมา และใช้เท้าที่บอบบางวางลงบนคางของร่างที่ไม่สมบูรณ์ หล่อนเสยคางนั้นเบาๆ..

เสียงกระอักกระอ่วน..สั้นๆ มันสะดุด และขาดช่วงออกจากปากที่มีรอยแผลเหวอะแต่ยังเผยออยู่นั้น มีการกระตุกเคลื่อนไหวตามส่วนต่างๆที่ยังเหลือของร่างกาย และดวงตาที่เหลืออยู่ข้างหนึ่งลืมขึ้นจากที่ริบหรี่ มันมองดูหล่อน...

ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่สองร่างมองดูและพิจารณากันและกัน ก่อนที่ร่างเบื้องล่างจะเป็นฝ่ายขยับปากและเค้นเสียงที่แหบพร่าขึ้นมาก่อน
"สะ..ซ..ไซ..ย์" คำกระอักกระอ่วนถูกเค้นให้ออกมาจากลำคอที่เหวะหวะและปากที่ฉีกขาด
"ชู่ววว.." หล่อนยกนิ้วชี้แตะริมฝีปาก เชิงบอกให้รู้ว่าไม่ต้องพูดหรือฝืนพูดสิ่งใดออกมา ร่างเบื้องล่างพยายามจะยิ้มให้ แต่ก็กลายเป็นการแสยะยิ้มที่น่าขยักแขยงแทน หล่อนค่อยๆเปลี่ยนท่าทางจากยืนเป็นนั่งลงคุกเข่าช้าๆ อยู่ข้างกันกับร่างที่เละเทะนั้น
"สวัสดีจาเร็ด" เสียงเหนื่อยล้าแต่แข็งกระด้างของหล่อนเอ่ยขึ้น
"อึก..อัก..ฮะ..ฮา" คำที่ถูกเค้นให้เป็นคำพูดเปล่งออกมา หล่อนจึงส่ายหน้าให้ร่างนั้น
"อย่าพึ่ง..พูดอะไรตอนนี้ มันจะทำให้คุณแน่นิ่งไวกว่าเดิม" หล่อนกล่าว ก่อนจะยื่นมือที่กำบางอย่างไว้และคลายมือออกเผยให้เห็นบางสิ่งอยู่ในมือ สิ่งเล็กๆที่เคลื่อนไหวได้ ปราศจากสีหรือรูปร่างที่แน่นอน หล่อนจ้องดวงตาข้างเดียวที่เหลืออยู่ของร่างนั้น ของเขา.. เขาพยักหน้าเพียงเล็กน้อย และหล่อนพยักหน้ารับก่อนจะยื่นมือไปไกล้ริมฝีปากของเขาและปล่อยบางสิ่งจากมือ บางสิ่งเคลื่อนไหวเข้าทางปากของเขา และลงไปที่ลำคอ เกิดเสียงน่าขยักแขยงขลุกขลักอยู่ในลำคอของเขา เสียงปุดๆของเลือดที่ทะลักออกจากคอ และเสียงลมที่พ่นออกจากปากที่ฉีกขาด ดวงตาที่เหลือข้างเดียวเบิกโพลงและส่วนที่เหลือของร่างเริ่มดิ้นพล่าน... แต่จากนั้นไม่นาน ทุกอย่างสงบลง ดวงตาที่เบิกโพลงกลับสู่ปกติ

"มันอาจเป็นครั้งสุดท้าย สำหรับวันนี้ ฉันไม่อยากให้มันจบแบบค้างคา จงพูดในสิ่งที่อยากพูด ต่อให้คำๆนั้นเป็นเพียงการหยอกล้อต่อจิตใจสำหรับครั้งสุดท้ายที่คุณจะได้ทำมัน ฉันจะรับมันไว้และทำเป็นแสลงใจต่อใบหน้าที่เละๆของคุณและต่อดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวของคุณ มันอาจทำให้คุณสบายใจถ้าได้เห็นฉันสะทกสะท้านต่อสิ่งที่คุณมอบให้เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากที่คุณคอยมอบให้ฉันในวันเกิดตลอดทุกปี มันเป็นของขวัญที่ดีนะ และฉันก็คิดมาโดยตลอดว่าจะมอบของขวัญใดให้คุณได้บ้าง ให้มันเหมาะสม จนมาถึงวันนี้ วันเกิดของฉัน.." หล่อนเม้มปาก "ฉันรอรับของขวัญจากคุณ แต่ในขณะเดียวกันฉันก็มีของขวัญที่เตรียมไว้ให้คุณด้วย" หล่อนพยักหน้าเสริมคำพูดตัวเอง "มันเป็นสิ่งที่สะสมมานาน อัดแน่นด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบายมานาน ฉันกลั้นใจและอดทนอย่างสุดแสน.. เพื่อให้ได้มาอยู่ตรงนี้" น้ำตาเม็ดเล็กๆไหลลงอาบแก้มหล่อน หล่อนก้มหน้าเช็็ดมันก่อนเงยขึ้น "..และมองดูผลงานของฉันที่มอบให้คุณเป็นของขวัญ.. คุณชอบมันมั้ย..?" หล่อนกัดฟันและแสยะยิ้ม เอียงคอเป็นเชิงสงสัยในคำถามนั้น

"ไซย์.." เขาพูดชื่อของหล่อน มันเป็นเสียงที่แหบพร่า
"หากนี่ เป็นครั้งสุดท้าย.. ของฉัน..ฉัน..ก็อยากบอกเธอ.."
"ว่า.." หล่อนพูด
"ฉัน..ภูมิใจ..นะ" เขาบอกหล่อน และพยายามยิ้มให้หล่อนอย่างสุดความสามารถ แต่หล่อนไม่ได้ยิ้มตอบ หากแต่นิ่งและมองใบหน้าของเขาด้วยความสงบ
"เธอทำได้..ดี..ดีมาก" เขาพูดแล้วหลับตาที่เหลือเพียงข้างเดียวลงหนึ่งครั้ง
"เราปราถนาเหลือเกิน.. ที่อยากให้เธอ.. ทำแบบนี้ เพราะหากเธอไม่..ไม่ทำ..เราก็คง ต้องเป็นฝ่าย..ทำ" เขาหยุดและหอบหายใจแรงๆ ก่อนจะพูดต่อ
"อยากให้เธอยอมรับ ด้านที่แท้จริง.. ของ..ของตัวเอง..สักที เรามองดูเธอมาโดยตลอด เราอยากกำจัด เธอ..แต่ก็เพาะบ่ม..ด้านมืด..ของเธอไปด้วย หากเธอไม่ยอมรับ..เธอก็ต้องตาย.. เป็นความตาย จาก..จากพวกเรา.." เขาพูด และหล่อนยังคงฟังด้วยความสงบ
"เราจะ..จะไม่ตาย..อย่างสูญเปล่า เธอ..เธอได้ลิ้มรสมัน ด้วยมือตัวเองแล้ว เธอ..เธอจะหยุดไม่ได้..หรอก เธอจะ.."
"ผิดแล้ว" หล่อนพูดขึ้นก่อนทีเขาจะได้พูดต่อ เขาจึงจ้องมองหล่อนด้วยดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียว
"จริงๆฉันรู้มาโดยตลอดว่ามันคืออะไร" หล่อนยิ้มหน่ายๆ "สิ่งที่พวกคุณทำ ทำกับฉันและเด็กที่มีชะตากรรมแบบฉัน.. ฉันไม่ได้พึ่งรู้ในวันนี้ที่ตัดสินใจมาเผชิญหน้ากันตรงๆหรอกนะ..และฉันน่ะ หยุดได้.."
"....."
"พวกคุณรู้ ว่าฉันคืออะไร และเป็นใครที่ถือกำเนิดมา พยายามเพาะบ่มและปูทางให้ฉันบิดเบี้ยว ให้ฉันมีสีดำมากกว่าสีขาว ให้ฉันเกลียด และฉันก็เกลียด เพียงแต่ฉันก็ยังไม่ยอมเป็นไปดั่งที่พวกคุณต้องการ และนั่นมันทำให้พวกคุณไม่สบายใจ จึงพยายามหาทางกำจัดฉันด้วยวิธีเพาะบ่ม คือถ้าได้ผลฉันจะเป็นไปอย่างที่คุณต้องการ แต่ถ้าไม่ได้ผล ฉันก็จะตายอย่างที่ต้องการอยู่ดี พวกคุณทำให้ฉันเจ็บป่วย และตาย พวกคุณอยากให้ฉันทำลายและฆ่า.. มันจะทำให้ฉันเป็นสิ่งที่หยุดไม่ได้และโดดเด่นกว่าใครในโลกใบนี้ เป็นประโยชน์ต่อหลายๆสิ่งหรือใครหลายๆคนที่รู้จักวิธีใช้ฉันให้เกิดประโยชน์ แต่ในวันนั้น.. ฉันกลับไม่ได้ทำ.." หล่อนบอกเขา และเขาขยับปากที่บิดเบี้ยวคล้ายจะพูดตอบ แต่หล่อนก็พูดก่อน
"พวกคุณคงไม่พอใจ ที่ฉันยังคงอยู่ระหว่างสองโลก สองที่ สองแห่ง ไม่แน่ไม่นอน คงกังวลสินะ"
"ใช่.." เขาพูด
"ทั้งที่ฉันเป็นแบบนี้ อยู่ในสภาพอย่างนี้ และเจ็บป่วยขนาดนี้..น่ะเหรอ?" หล่อนถามด้วยความไม่พอใจ
"มัน..ไม่มีอะไรแน่นอน อย่างเช่น วันนี้" เขาไอก่อนจะพูดต่อ
"วันนี้ เธอยังทำได้..ขนาดนี้ เธอยังทำให้..พวกเรา ต้องประหลาดใจ..จริงมั้ย? เธอแค่ยังไม่รู้จักตัวเองดีพอ ไม่รู้ว่าตน..สามารถทำอะไรได้บ้าง หรือรู้..แต่แค่ไม่ยอมรับ ความอ่อนแอ..และโรคภัย..ยังหยุดเธอไม่ได้ หากเธอจะทำมันขึ้นมาจริงๆ.. เธอก็ทำได้" เขาพูด
หล่อนหัวเราะ.. ทำให้เขาไม่เข้าใจ
"และนั่น คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ทั้งที่คุณเป็นคนพูดคำตอบของฉันออกมาเองแท้ๆ"
"มะ..หมายความว่าอะไร"
"ก่อนหน้านี้ฉันพูดว่า 'หยุดได้' และก็หมายความตามนั้น.. และคุณเองก็ยังพูดย้ำว่าฉันเป็นฝ่ายถูก 'ความอ่อนแอและโรคภัยยังหยุดเธอไม่ได้หากเธอจะทำมันขึ้นมาจริงๆ.. เธอก็ทำได้' จริงมั้ย? นั่นน่ะมันหมายความว่า ฉันจะทำหรือไม่ทำ จิตวิญญาณของฉันจะตัดสินใจเอง ฉันจะทำมันเมื่อไหร่ก็ได้ที่เห็นว่าสมควรแล้ว หรือไม่ทำก็ได้ถ้าไม่อยากทำ มันไม่มีหรอกสำหรับฉันกับคำว่าอยากทำจนห้ามใจไม่ได้น่ะ คุณคิดว่าหากฉันได้ลองลิ้มรสมันสักครั้งแล้วจะหยุดไม่ได้ ก็คงผิดแล้ว เพราะฉันลิ้มรสมันมาตลอดตั้งแต่..วันนั้น แล้วยังได้ลิ้มรสทางอ้อมมาโดยตลอด แค่วันนี้จริงจังกว่าครั้งไหนๆเพราะฉันเลือกที่จะอยู่แนวหน้า และคุณยังเข้าใจผิดอีกเรื่อง... อย่าคิดว่าถ้าฉันได้ฆ่าแล้วจะหยุดไม่ได้.. ฉันน่ะทำมามากกว่านั้น มากกว่าฆ่าตรงๆโดยที่คุณไม่รู้อะไรเลย พวกคุณไม่รู้ห่าเหวอะไรเลยจริงๆ เช่นวันนี้..ฉันก็ยังไม่ได้ทำอะไรให้ใครต้องหลั่งเลือดด้วยฝีมือตัวเองเลยสักนิด.. แต่คุณก็ยังดูไม่ออก"
"ไม่จริง.. ฉันเห็น" เขาค้าน
"นั่นไม่ใช่.. ฉัน" หล่อนบอกพร้อมกับชี้ตัวเอง
"รู้อะไรมั้ย ยิ่งฉันมีความทุกข์ ถูกเพาะบ่มให้เข้าด้านมืดมากเท่าไหร่ ฉันยิ่งโหยหาแสงสว่างมากเท่านั้น มันเป็นธรรมดาของมนุษย์เราที่จะไขว่คว้าหาสิ่งที่ตนไม่มี.. เช่นฉันนั้นคือความมืดและฉันตามหาแสงสว่าง แต่คุณก็ยังไม่รู้อีกแหละ ว่าความมืดกับฉันน่ะเป็นเพื่อนสนิทกัน เราไม่ได้ทำร้ายกันเลยแค่อยู่ด้วยกันเท่านั้น และความมืดนับถือฉันต่างหาก.. ส่วนความทุกข์ต่างๆที่ฉันมีน่ะ ความมืดมิดไม่เคยเกี่ยวข้องด้วยเลยสักครั้ง จำไว้นะ คุณยังศึกษาฉันไม่ดีพอ ตราบใดที่ฉันยังคงทำให้คุณประหลาดใจได้นั่นหมายถึง คุณไม่เคยรู้อะไรเลย"
"เธอจะต้องตาย.." เขาพูดขึ้นด้วยความชัง
"ทุกคนล้วนต้องตาย เช่นวันนี้ เช่นคุณ" ความหนักแน่นปะปนอยู่ในน้ำเสียงของหล่อน
"ฉันคงต้องเจ็บป่วยจนตายถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด" หล่อนหัวเราะ "ดังนั้นขอให้โรคภัยมันฆ่าฉันให้ตายอย่างสงบโดยที่ไม่มีพวกคุณมายุ่งจะดีกว่า..ว่ามั้ยล่ะ"
"ตาย.. ทั้งเป็น" เขาพูด
"นี่..ฉันตายทั้งเป็นอยู่แล้วนะลืมแล้วเหรอ? คงตายทั้งเป็นซ้ำอีกไม่ได้ เหมือนกับพื้นสีขาว แล้วยังทาสีขาวทับลงไปอีก มันก็ไม่เกิดอะไรขึ้นมาหรอก.." หล่อนบอก
"แต่ที่แน่นอนกว่านั้นคือ คุณต้องตายทั้งเป็นวันนี้"

เขาทำตาเหลือกและแสยะริมฝีปาก พยายามพูดโต้ตอบหล่อนอีกครั้งแต่ครั้งนี้มีเพียงเสียงขลุกขลักในลำคอ และสีหน้าที่ยับย่นนั้นบอกอะไรไม่ได้ หล่อนจึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่สิ่งนั้นหมดฤิทธิ์ลง สิ่งที่หล่อนปล่อยลงสู่ลำคอของเขา หล่อนจึงค่อยๆลุกขึ้นยืนและหายใจเข้าออกช้าๆอยู่หลายครั้ง ก่อนจะมองลงไปที่ร่างนั้น
"ก่อนหน้านี้ฉันพูดว่า ยังไม่ได้ทำให้ใครหลั่งเลือดด้วยตัวเองเลยใช่มั้ย.. นั่นน่ะ ฉันเก็บเอาไว้ทำตอนท้ายน่ะ และดูเหมือนคำลาสุดท้ายของคุณจะไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย น่าผิดหวังจริงๆ.." หล่อนส่ายหน้าหน่ายๆ ร่างนั้นเริ่มดิ้นพล่าน ดวงตาที่เหลือเพียงหนึ่งเริ่มเบิกโพลง หล่อนค่อยๆก้าวถอยออกมา

"พื้นสีขาว เลือดสีแดง" หล่อนพูด
"สีแดงเป็นวงกลม กลมดั่งดวงจันทร์"
"เศษเนื้อ เศษชิ้นส่วน ถูกจัดวาง"
"วางเป็นจุด เป็นอักษร หากมองให้ดี"
"มีหนึ่งจากทั้งหมดที่ตาย หนึ่งที่ยังหายใจ"

ทุกคำที่หล่อนพูดฟังดูราวกับบทสวดนั้นทำให้เขานอนดิ้นพล่านและดวงตาที่เหลือเพียงหนึ่งเบิกโพลงยิ่งกว่าเดิม คำกระอักกระอ่วนมากมายพลุ่งพล่านอยู่ในลำคอ เขาสำลักเลือดและอากาศจากช่องว่างที่เหวอะหวะเหล่านั้น เมื่อรู้ถึงสิ่งที่หล่อนกำลังจะทำ ทำให้เขากลัวมากกว่าประหลาดใจ หล่อนค่อยๆก้าวเดินออกมาจากทะเลสีแดงฉานนั้น และหากสังเกตุให้ดีทะเลเลือดเหล่านี้มันเป็นวงกลมดั่งดวงจันทร์ เพียงแต่ดวงจันทร์นี้เป็นสีแดง.. และทันทีที่หล่อนก้าวขาข้างหนึ่งออกจากทะเลเลือดนี้ หล่อนก็ออกเดินต่อไปโดยลากขาข้างขวาที่ชุ่มไปด้วยเลือด หล่อนออกเดินไปตามขอบ-รอบวงกลมของทะเลเลือดนี้โดยใช้ขาซ้ายเป็นหลักของการเดินและรับน้ำหนัก แล้วลากขาขวาให้ติดพื้นไปเรื่อยๆ รอยเลือดสีแดงถูกแต่งแต้มเป็นเส้นตลอดทางที่หล่อนก้าวเดิน แม้จะเชื่องช้า อิดโรยแต่ก็หนักแน่น ปากของหล่อนยังคงพูดบางอย่างคล้ายกระซิบ เป็นเสียงที่เล็กและแผ่วเบา..

ไม่นานหลังจากนั้นหล่อนก็หยุดเดินเมื่อก้าวสุดท้ายมาบรรจบกันกับก้าวแรก รอยเลือดเป็นทางจากเท้าขวาของหล่อนนั้นสิ้นสุดลงเช่นกันเมื่อมันมาบรรจบลงที่จุดเริ่มต้น หล่อนมองไปที่ร่างนั้นแล้วถอนหายใจ ก่อนจะก้มลงช้าๆ แล้วยื่นแขนขวาออกไปที่กองเลือด หล่อนใช้ปลายนิ้วสามนิ้ว ชี้ กลาง นาง จุ่มลงบนกองเลือดสีแดงฉานนั้น ปากของหล่อนยังคงพึมพัม และดวงตาของหล่อนยังคงเกลียดชัง จากนั้นหล่อนยกนิ้วทั้งสามขึ้นมา และแตะลงบนหน้าผากของตนก่อนจะค่อยๆลากลงมาผ่านจมูก ปาก และใต้คางที่หล่อนหยุดก่อนจะลุกขึ้นยืนและท่องบางอย่าง เป็นคำมากมายหลากหลายภาษาพรั่งพรูออกจากปากของหล่อน ก่อนนิ้วทั้งสามจะเลื่อนลงไปที่คอถือเป็นการเสร็จสิ้น ร่างนั้นดิ้นพล่านยิ่งกว่าเดิมแต่ก็ยังไม่ตาย ความหวาดกลัวต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดคลอบงำเขา ดังเช่นที่เคยคลอบงำหล่อนตลอดมา เพียงแต่หล่อนยังไม่ตายแต่เขากำลังจะตาย หล่อนคิดมาโดยตลอดว่า ไม่ว่าจะอย่างไร ตายทีหลังศัตรูอาจเป็นชัยชนะอย่างหนึ่ง..

มือหนึ่งวางบนไหล่ของหล่อน หล่อนจึงหันไปมองและเห็นชายหนุ่มตัวสูงคนหนึ่งกำลังมองหล่อนด้วยแววตาของความห่วงใยในแบบที่เขาชอบแสดงออกมา หล่อนพยักหน้าให้และเขาพยักหน้ารับก่อนที่หญิงสาวผมแดงอีกคนจะปรากฏออกมาพร้อมกับคบเพลิงในมือ มันเป็นคบเพลิงโบราณนามว่า คิยีราตักซ์ เปลวไฟของมันลุกโชนเป็นสีแดงระเรื่อ และสิ่งเดียวที่ทำให้มันลุกโชนหาใช่น้ำมันหรือเชื้อเพลิงใด หากแต่เป็นเลือด เลือดเท่านั้นที่มันต้องการ และหล่อนคิดว่าคงถึงเวลาแล้ว หญิงผมแดงยื่นคิยีราตักซ์ให้ชายหนุ่ม เขารับมาและยืนอยู่ข้างหลังหล่อน หญิงผมแดงก้าวต่อมาและหยุดยืนอยู่ข้างหล่อนตรงข้ามกับชายหนุ่ม ก่อนที่ริมฝีปากของหญิงสาวจะขยับและท่องบางอย่างออกมา เสียงของหญิงสาวกู่ก้องและดังกังวาน มันโหยหวน ทุ้มต่ำ และลึกลงสุด ก่อนจะสูงสุดและเบา มันเป็นท่วงทำนองที่เรียกสายลมให้พัดมา เรียกความมืดหม่นให้ปกคลุม และความหนาวเย็นเข้าคลอบงำ

หล่อนกางแขนทั้งสองออก และกล่าวคำบางอย่าง ท่ามกลางเสียงร้องที่ยังคงกังวานของหญิงสาวผมแดง ชายหนุ่มยื่นคิยีราตักซ์ให้หล่อน ทันทีที่หล่อนรับคบเพลิงโบราณนี้มาอยู่ในมือ พลันทุกอย่างก็เงียบสงัด ปราศจากเสียงใดนอกจากเสียงขลุกขลักของร่างที่เคลื่อนไหวท่ามกลางกองเลือดเบื้องหน้า

"สุขสันต์วันเกิดไซลี่" ชายหนุ่มพูด
"สุขสันต์วันเกิด" หญิงสาวผมแดงพูด
"ฉันชอบเค้กวันเกิดของฉันจริงๆนะ ขอบคุณ" หล่อนตอบพวกเขาทั้งสอง
"ทีนี้เหลือแค่จุดเทียนวันเกิด" หญิงสาวบอกหล่อนก่อนจะยิ้มมุมปาก
หล่อนหัวเราะ และพยักหน้าขอบคุณหญิงสาว พวกเขาทั้งสองถอยออกมาจากหล่อน และเดินกลับไปที่จุดเริ่มต้น ที่จุดเริ่มต้นมีกลุ่มคนยืนรออยู่ พวกเขายืนอยู่ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ที่ไกล้จุดจบ ทั้งสองมาหยุดและยืนตรงหน้าพวกเขาก่อนที่ทั้งหมดจะมองไปที่หล่อน

สายลมพัดผ่านมา ร่างของเด็กสาวที่ผ่ายผอมคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางความมืดที่แปลกแยก เบื้องหน้าหล่อนคือกองเลือดสีแดงฉานขนาดใหญ่ มันเป็นวงกลมดั่งดวงจันทร์ หากแต่ดวงจันทร์นี้เป็นสีแดง และภายในกองเลือดเหล่านี้มีเศษเนื้อ เศษชิ้นส่วนต่างๆ ของบุคคลต่างๆที่หล่อนเกลียดชัง หล่อนไม่คิดว่าตนนั้นทำบาปเพราะหล่อนคิดว่าตนนั้นคือบาป แขนที่เรียวและมีแต่หนังหุ้มกระดูกของหล่อนข้างหนึ่งได้ถือคบเพลิงไว้ หล่อนเคยอยากถือมันครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว แล้ววันนี้ก็สมหวัง หล่อนก้าวเดินไปข้างหน้าอีกเล็กน้อยก่อนจะก้มลงและยื่นมือที่ถือคบเพลิงออกไป แล้วจุ่มมันลงที่กองเลือด..

เปลวไฟลุกโชนทันทีที่มันสัมผัสเลือด มันพุ่งเป็นทางและไม่นานก็เต็มพื้นที่สีแดง มันลุกโชนอย่างเกรี้ยวกราดและดุร้าย สีแดงเพลิงของมันเข้มข้นยิ่งกว่าเลือดราวกับมันดูดซับสีแดงฉานจากกองเลือดทั้งหมดเหล่านั้นแล้วรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมัน เสียงร้องโหยหวนน่าขยักแขยงยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในกองไฟ เสียงจากร่างนั้น ความเจ็บปวดจากเปลวไฟที่ร้อนระอุคงบาดลึกไม่น้อย เสียงครวญครางและสำลักเปลวไฟนั้นหล่อนจะไม่มีวันลืม หล่อนเคยคิดว่าเผาทั้งเป็นมันเป็นอย่างไร มาบัดนี้หล่อนเข้าใจแล้ว เมื่อเข้าใจดีแล้วหล่อนจึงโยนคบเพลิงในมือใส่เข้าไปในกองไฟตรงหน้า ถือเป็นจุดจบ

......................................

ท่ามกลางเปลวไฟสีแดงที่ลุกโชน มีเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ หล่อนผอมบางมีเพียงเนื้อหนังน้อยนิดหุ้มกระดูก ผมของหล่อนยาวและมันมีสีดำ ดำเฉกเช่นสีของนัยน์ตาหล่อน หล่อนยืนสงบนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาทั้งสองของหล่อนเฝ้ามองเปลวไฟที่อยู่เบื้องหน้า ราวกับหล่อนพยายามจะจดจำทุกอย่างให้ตราตรึงและชัดเจนทุกรายละเอียด

และหากมองจากด้านหลัง คุณจะเห็นเปลวไฟสีแดงลุกโชน และมีจุดสีดำเล็กๆเป็นร่างหนึ่งยืนอยู่ นั่นคือหล่อน

แล้ววันนี้เป็นวันเกิดของหล่อน
สุขสันต์วันเกิดไซลี่
7.9.2017

................................................................................................................................

**แถมท้าย

"เธอคงพอใจ สำหรับเค้กวันเกิดที่พวกเราทำให้" ชายหนุ่มพูดขึ้นหลังจากยืนมองเพื่อนสาวตัวเล็กๆของเขาจุดเทียนวันเกิด
"แน่นอนสิ! เค้กใหญ่ซะขนาดนั้นน่ะ แถมพอจุดเทียนวันเกิดแล้วยังมีดวงไฟสวยๆสีแดงอีกเห็นมั้ยล่ะ" หญิงสาวผมแดงตอบกลับชายหนุ่ม
"เธอจะไหวได้นานแค่ไหน"
"อ๋อวว จริงๆเธอบ๊ายบายนานแล้วล่ะ! นั่นน่ะฉันช่วยเอง แต่ต่อจากนี้คงต้องช่วยกันหามล่ะนะ"
"ฉันคิดว่าพวกเราลืมโบว์นะ"
"บ้า! ใครที่ไหนจะติดโบว์บนเค้กล่ะ"
"เหรอ.."
"..ก็ใช่น่ะสิ!"

ผมหันไปพูดคุยกับคนของผม และหนึ่งในนั้นมีคนของคนอื่นที่มาร่วมทีมกับผมสำหรับภารกิจของวันนี้ เราคุยกันเรื่องต่อจากนี้ เกี่ยวกับการรักษาของเพื่อนสาวผมเพราะเธอเจ็บป่วยและบาดเจ็บอยู่ และมันก็รุนแรงเพิ่มขึ้นหลังจากเรื่องทั้งหมดนี้ เมื่อรู้เรื่องกันแล้วผมจึงเตรียมตัวเดินไปรับเธอที่ยืนอยู่ลำพังตรงหน้าเปลวไฟสีแดง.. แล้วผมก็ต้องอุ้มเธอที่สลบ..อย่างที่คิดไว้ เธอช็อคด้วยความเหนื่อยล้าจากเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา หมอใส่เครื่องช่วยหายใจให้เธอขณะที่ยังอยู่ในอ้อมแขนของผม ช่างเป็นเพื่อนที่ตัวเล็กซะจริงๆ ยัยแม่มดน้อยของผม เธอเป็นเด็กดื้อที่สุดในโลกใบนี้ แต่ก็เป็นนักรบตัวจิ๋วได้เหมือนกันถ้านึกคึกคักขึ้นมา.. ผมไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีวันนี้ หลังจากที่เธอติดต่อมาแล้วบอกเล่าทุกอย่าง ผมเต็มใจอย่างสุดแสนเพราะสิ่งนี้คือเรื่องที่ผมตื๊อเธอมาโดยตลอดว่าให้ จัดการซะ! แต่เธออ่อนแอและคิดมากเกินไป และตอนนี้ก็ยังอ่อนแอและคิดมากอยู่ มันจึงทำให้ผมรู้ว่า ทุกอย่างล้วนมีเหตุผลสำหรับเธอ เธอจะทำเมื่อไหร่ก็ได้แค่อย่าทำให้เธอถึงขีดสุดก็พอ และผมก็มีความสุขดีที่ได้ทำเพื่อเพื่อนของผม ผมก็ไม่ได้ทำอะไรมากนัก แค่ฆ่าคนพวกนั้นทีละคน ทีละคน เราสู้กันบ้าง จริงๆก็สู้กันสุดๆไปเลย เป็นสงครามขนาดย่อมก็ว่าได้ คนของผมบาดเจ็บแต่ไม่มีใครตายจาก คงเพราะพวกเราเตรียมตัวมาดีแต่อีกฝ่ายไม่รู้เรื่องอะไรเพราะเคยชินกับการกระทำอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนฝ่ายถูกกระทำเช่นเธอนั้น วันนี้กลายเป็นฝ่ายตอบโต้บ้าง มันจึงหักมุมอย่างที่เห็น

เธอขอให้ผมช่วยเธอเขียนบันทึก สำหรับเรื่องราวของวันนี้ โดยยกหน้ากระดาษให้ผมหนึ่งหน้า ผมจดๆจ้องๆอยู่กับหน้ากระดาษเปล่าเปลือยก่อนจะค่อยๆเขียนตัวอักษรลงไป จากนั้นมันก็ไหลลื่นแม้จะเขียนเพียงสั้นๆสำหรับเรื่องของผมแต่ก็ดีใจที่ได้อยู่ร่วมในเรื่องของไซย์ หวังว่าเธอจะแปลภาษาของผมให้ตรงกับความจริงเพราะเธอชอบแกล้งผมด้วยเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง คุณต้องจินตนาการว่าผมเป็นคนสุขุม พูดน้อย และจริงจัง ผมเป็นคนตลกร้ายและเซ็กซี่ แต่ถ้าหากเธอแปลข้อความของผมไปในทางอื่นล่ะก็ นั่นหมายถึงผมโดนกลั่นแกล้งอย่างแน่นอน

ผมได้แต่หวังว่าเธอจะดีขึ้นในเร็ววัน และผมภาวนาอย่างนั้นตลอดเวลา
ผมเป็นนักฆ่าระดับ S' 
และเธอเป็นเพื่อนของผม ใช่แล้ว ไซย์เป็นเพื่อนแท้ของผม

แม้วันหนึ่งเราจะตายจากกันคนละโลก แต่เราก็จะพบกันที่บั้นปลายอยู่ดี

.
.
...........................................................................................................
🍃🌸🍃🌸🍃🌸🍃
©salinsiree
If you have any questions, or would like to talk, contact me!

salinsiree.witchy@yahoo.com


Book : Detective Tabito Higurashi's findings things. ทาบิโตะ นักสืบเนตรสัมผัส

หนังสือเรื่อง Detective Tabito Higurashi's findings things. ทาบิโตะ นักสืบเนตรสัมผัส เล่ม1

เขียนโดย : ยามากุจิ โคซาบุโร Yamaguchi Kozaburou
ภาพโดย : เอ็นราคุ
แปลโดย : บดินทร์ พรวิลาวัณย์
.......
ปกหนังสือดูน่าสนใจนะ ข้าคิด
เป็นสิ่งแรกหลังจากที่ได้เห็นแล้วเกิดความสนใจตามมา จึงลองศึกษาผ่านเนื้อหาตัวอักษรสำหรับตัวอย่างย่อ และเมื่อพิจารณาหลังจากอ่านจบจึงคิดว่าน่าจะลองไปดูของจริงและเปิดอ่านดูพลางๆเกี่ยวกับภาษาที่ใช้ เนื้อหา และการแปลว่าเป็นอย่างไรผ่านสายตาของตน คิดเช่นนั้นแล้วข้าก็เตรียมตัวออกเดินทางสู่ร้านหนังสือประจำของตน (ประจำ)เพราะข้ามักจะใช้เวลาอยู่ที่นี่(หากมีเวลาให้ใช้) หลังจากทำภารกิจเกี่ยวกับสุขภาพของตนเรียบร้อย ข้าก็มุ่งหน้าไปร้านหนังสือทันที และทันทีที่เข้าร้าน หา มอง ดู เมื่อเจอ และได้หยิบ จับ สัมผัส และเปิด ดู อ่าน และคิด... จากนั้นข้าก็ได้ตัดสินใจเลือกหนังสือเล่มนี้มาเป็นสมาชิกใหม่ในคลังหนังสือจำพวกตัวอักษรสำหรับการอ่านของข้า

เนื้อหา: เป็นเรื่องราวของ ฮิงุราชิ ทาบิโตะ ชายหนุ่มผู้ไม่มีประสาทสัมผัสอย่างอื่นเลยนอกจากการมองเห็น แน่นอนว่าไม่มีทั้งการได้ยิน ดมกลิ่น รับรส และสัมผัส แต่กระนั้นเขาก็ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่เป็นปกติท่ามกลางผู้คนทั่วไป ทั้งนี้ก็เพราะการมองเห็นของทาบิโตะนั้นแตกต่างและมีความพิเศษอยู่ในดวงตาคู่นั้นของเขา คือ เขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งที่เรียกว่าประสาทสัมผัสของคนทั่วไป แต่เห็นได้ในรูปแบบของภาพทดแทนสิ่งต่างๆผ่านดวงตาของเขา กลิ่น ความรู้สึก ความเจ็บปวด เสียง สิ่งเหล่านี้จะฉายเป็นภาพแตกต่างกันออกไปผ่านการมองเห็น เช่นหากเขาโดนหยิกที่ผิวหนังเขาจะไม่รู้สึกเจ็บ แต่เขาจะเห็นระดับความเจ็บปวดที่ได้รับผ่านการมองเห็น อาจเป็นสีที่ลอยอยู่ในอากาศ หรือภาพบางอย่างที่ทาบิโตะเองเข้าใจคนเดียว เขาเรียนรู้เรื่องนี้และปรับใช้ให้ตนอยู่กับมันได้และนั่นเองที่ทำให้เขามีความสามารถในแบบที่คนอื่นไม่มี ทำให้เขามีพรสวรรค์ และทำให้เขากลายมาเป็นนักสืบ.. แน่นอนว่าเขาทำมันได้ดีทีเดียว.

จากตอนแรกเนื้อหาอย่างย่อคล้ายจะบอกว่าหนังสือเรื่องนี้อาจเป็นแนวสืบสวนสอบสวน หรือนักสืบวิญญาณเพราะมีการบอกถึงดวงตาที่พิเศษของทาบิโตะ อาจทำให้คล้ายกับหนังสือเรื่องยาคุโมะหรือ คาชิวากิที่ข้าเคยอ่าน แต่เมื่อได้ตรวจเนื้อหาอักษรดูกับตาของตนจึงเข้าใจว่ามันไม่ใช่ ทาบิโตะนั้นเป็นนักสืบตามหาของที่หายไป ตามหาสิ่งของต่างๆ แม้กระทั่งคนที่หายไปผ่านดวงตาที่พิเศษของเขา และหากสงสัยว่าดวงตาของเขามันใช้ทำงานในด้านนักสืบอย่างไรก็คงต้องไปหาหนังสือมาอ่านกันเอาเองแล้วล่ะนะ.

สำหรับข้านั้นถือว่าคุ้มค่าที่ได้ทาบิโตะมาอ่านนะ แม้ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลิศหรือเข้มข้นจนคิ้วขมวด แต่มันเป็นเรื่องราวที่ราบเรียบและมีความสวยงามผ่านความคิดเล็กๆน้อยๆของตัวละคร บางคำพูดเป็นข้อคิดที่ดีได้และสบายใจที่จะอ่าน ผู้เขียนใช้ข้อคิดมาเป็นภาษาพูดง่ายๆที่ทำให้อ่านแล้วจำได้ดี. และตลอดทั้งเรื่องจะได้เห็นทาบิโตะในด้านที่อ่อนโยน ใจดีและมีน้ำใจ เห็นใจผู้อื่นจนตนเองต้องลำบากอยู่ตลอด กับแววตาที่ดูเหงาและฉายแววเศร้าแต่ก็มักจะยิ้มเป็นกำลังใจว่า "ไม่เป็นอะไรนะ" อยู่เสมอ แต่เมื่ออ่านมาถึงตอนจบของหนังสือ แบบที่เรียกได้ว่าจะจบจริงๆนั่นแหละ ถึงจะได้เห็นว่าทาบิโตะนั้นก็มีด้านมืดที่แฝงอยู่ในจิตใจของเขา และแน่นอนอดีตที่เป็นความลับรวมถึงความเป็นมาของทาบิโตะก่อนจะมาเป็นทาบิโตะทุกวันนี้ และการไม่แยแสเล็กๆน้อยๆต่อผู้คนที่อยู่ระหว่างทางเป้าหมายของเขา ทำให้ทาบิโตะไม่ได้เป็นผู้ชายที่มีด้านเดียวให้รู้สึกหากแต่มีมากกว่าหนึ่งด้านไว้ให้ผู้อ่านคิดตามแต่มุมมองนั่นเอง. แล้วก็ทาบิโตะน่ะ เขามีเป้าหมายบางอย่างนะ ซึ่งข้านั้นคิดว่าน่าจะติดตามอ่านทาบิโตะทุกเล่ม.. อ้อนี่น่ะเป็นเพียงเล่ม1 นะ
ปกสีขาวด้านนอกสามารถเปิด-ถอด-ออกได้นะ ก็จะพบเล่มจริงปกสีฟ้าอ่านเรียบๆด้านในแบบนี้ล่ะ
  ................
Quotes from Tabito
 (note: these are all words from Detective Tabito Higurashi's findings things )

(เนื้อหา-อักษรทั้งหมดจากหนังสือ ทาบิโตะ นักสิบเนตรสัมผัส)
.
 "รอบตัวคุณฮาชิดะมีบรรยากาศที่อบอุ่นมาก ผมมองเห็นครับ" ทาบิโตะพูด
"ไอ้หนุ่มคนนี้ พูดจาประหลาดดีแท้"
.
"แต่ชีวิตผมก็สนุกสนานดีอยู่นะครับ ลูกสาวผมก็เป็นเด็กที่อ่อนโยน แกช่วยผลักดันให้ผมออกไปนอกบ้าน บอกว่าไปเถอะ ไม่ต้องห่วงหนู ความรักมันไม่ได้มีแต่การเกรงใจกันหรอกครับ"
.
เจ้าหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา คำพูดของเขาเหมือนจะอวดดี ถึงกระนั้นมันก็ดูน่าเชื่อถือ นี่เขาผ่านชีวิตแบบไหนมากันนะ ถึงได้เข้าใจโลกตั้งแต่อายุขนาดนี้
.
"การฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส สัมผัสบนผิวหนัง ประสาทสัมผัสทั้งห้าของผมบกพร่องไปสี่อย่าง และเพื่อชดเชยทั้งสี่อย่างที่ว่า ดวงตาของผมก็เลยเปลี่ยนสิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา ให้เป็นภาพที่ผมสามารถมองเห็นได้ครับ"
.
เปิดมาหน้าแรก
 อดีตอันแสนหวานนั้นจะเป็นกำลังใจให้เรา ส่วนอดีตที่โศกเศร้าก็ช่วยให้เราสำนึกได้ อดีตช่วยมอบพลังให้เรามีชีวิตอยู่ต่อในวันถัดไป และฉันคิดว่าการ 'แบกอดีตติดตัวไป' ก็หมายถึงอย่างนั้นแหละ
.
ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำไหนก็ห้ามหล่นหาย ฉันใช้ชีวิตโดยที่คิดแบบนั้นมาโดยตลอด และฉันว่าฉันก็คงจะคิดแบบนั้นตลอดไป
.
"ขอพูดตรงๆนะ ต่อให้เธอเป็นคุณหมออัจฉริยะได้ ฉันก็จะไม่ไปให้เธอรักษาหรอก ฉันไม่อยากให้คนที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของคนมารักษาโรคให้"
.
"ทำไมเธอถึงได้อยากเป็นหมอเหรอ เพื่อโลก? เพื่อผู้คน? ไม่ใช่ใช่มั้ย เธออยากเป็นหมอเพื่อตัวเธอเองต่างหาก เธอไม่มองคน แต่มองตำราแล้วท่อง ไม่มองคนไข้ มองแต่ประวัติแล้วรักษา หมอที่สรุปเองเออเองอยู่คนเดียวไม่เหมาะจะรักษาคนไข้หรอก"
.
หน้าต่อมา ในภาพ ผู้หญิงในชุดวอร์มคืออาจารย์ โยโกะ ผู้ชายด้านขวาคือ ยุคิจิ ส่วนเด็กหญิงข้างๆยุคิจิคือ เทจัง ลูกสาวบุญธรรมของทาบิโตะนั่นเอง
"เรียนจากฉันจะไปได้อะไร ไปเรียนรู้จากธรรมชาตินู่น อย่าถามว่าเรียนอะไร เธอจงคิดตั้งแต่ตรงนั้น สิ่งที่ตาเห็นทั้งหมดนั่นล่ะคือตำรา มองแล้วเห็นอะไรก็ต่างกันไปตามแต่ละคน เธอจงบ่มเพาะมุมมองในแบบของตนเอง"
.
เห็นทาบิโตะยิ้มอ่อนโยนเหมือนทุกทีแล้วความกังวลในใจโยโกะก็จางหาย
.
เธอรู้สึกร่าเริงอย่างบอกไม่ถูก ดูยังไงทาบิโตะก็คงไม่มีเบื้องหลัง แล้วที่เขาทำให้แบบแทบจะฟรีนั้น จะว่าไปก็ดูสมกับที่เป็นเขาดี ไปยุ่งกับทาบิโตะทีไร รู้สึกว่าจิตใจจะอ่อนโยนขึ้นทุกที เขาช่างเป็นคนที่แปลกจริง
.
ใครบางคนโผล่หน้ามาให้เห็นตรงปากหลุม เป็นทาบิโตะที่ดูอ่อนล้ายิ่งกว่าโยโกะ เขากำลังก้มหน้ามองลงไปยังที่ก้นหลุม "ค่อยยังชั่วที่ปลอดภัย" ทาบิโตะพูด
.
"ผมมองเห็นอยู่จากไกลๆครับ มองเห็นเสียงร้องเพลงของอาจารย์โยโกะ เห็นแล้วก็นึกถึงคืนวันเก่าๆ ช่วยร้องให้ผมฟังอีกสักครั้งได้มั้ยครับ"
.
ป่านนี้เขาจะทำอะไรอยู่นะ คืนนี้ทำกับข้าวไปให้เขาเพื่อขอบคุณเรื่องเมื่อวานดีมั้ยนะ
.
บรรยากาศตรึงเครียด มาสึโกะจ้องตาทาบิโตะราวกับจะหาความจริง ทำไมเขาถึงอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรอาชญากรรมกันนะ เขาจะรู้ไปเพื่ออะไร สิ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นของทาบิโตะ คือคุณธรรมหรือความมืดดำกันแน่
.
ที่ผ่านมาเธอเจอคำขอแบบนี้มาตลอดว่า ขอข้อมูลมากกว่าค่าแรง นั่นทำให้เธอรู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อยว่าฮิงุราชิ ทาบิโตะ กำลังไล่ตามอะไรอยู่กันแน่
.
 ..................................................................................................................
หากชื่นชอบที่จะลองอ่านอะไรที่ดูจะคล้ายๆจะแนวนี้แน่ๆแต่กลับให้ความรู้สึกแตกต่างออกไปเพราะตัวละครปฏิบัติไม่เหมือนกับสิ่งที่คิดอะไรแบบนี้ ก็ลองหยิบหนังสือเล่มนี้มาเปิดๆดูก่อนเวลาเข้าร้านหนังสือ แต่ต้องขอย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้ราบเรียบ จะไม่มีความตื่นเต้นชนิดที่ขมวดคิ้วหรือสนุกเข้มข้นจนวางไม่ลง สำหรับบางคนอาจจืดชืดเลยก็ได้ ดังนั้นขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนนะ และข้าเชื่อว่าน่าจะมีเล่ม2 3 และ 4 ออกมาเรื่อยๆนะ ลองติดตามดูกัน ส่วนข้านั้นไม่ได้จริงจังแต่ชอบศึกษาติดตามมากกว่าน่ะ ผู้ที่รักการอ่านจะเข้าใจเลยล่ะว่าคืออะไร...

ด้วยอักษรที่รัก
-salinsiree
................................................................

.
.
...........................................................................................................
🍃🌸🍃🌸🍃🌸🍃
©salinsiree
If you have any questions, or would like to talk, contact me!
salinsiree.witchy@yahoo.com

salinsiree quotes 🌿 chapter.10

ช่วงนี้ข้าได้ค้นพบหลายสิ่งที่จับต้องไม่ได้แต่รู้สึกถึงมันได้ จนกระทั่งใครบางคนเดินสวนทางมา หยุด และก้มลงหยิบสิ่งต่างๆเหล่านั้นขึ้นมาต่อหน้าข้า
-salinsiree
.
ข้าอาศัยอยู่ในป่าใหญ่ ในบ้านหลังเล็กๆที่มีห้องหนังสือใหญ่กว่าทุกห้องในบ้าน รวมทั้งห้องครัวที่สวยกว่าทุกห้องในบ้าน
-salinsiree
.
เมื่อไม่นานข้าได้ค้นพบความทรมานที่ซาตานเป็นผู้ยื่นให้ และข้ายอมรับมัน พร้อมกับโอบกอดมันไว้
จนมั่นใจว่าความทรมานนี้จะไม่พรากจากไปไหน..
-salinsiree
.
ก็เพราะว่าข้าไม่มีที่ไปจึงได้มาอยู่ที่นี่ อย่าเคืองใจเพียงเพราะข้าเอ่ยว่าที่นี่ไม่ดีต่อกายข้า ข้าพูดเพราะข้าชอบพูดในสิ่งที่จริง แม้ว่าทุกอย่างจะกลายเป็นคำโกหกเมื่อมันเดินทางสู่หูทั้งสองของเจ้า
แต่ไม่ใช่ใจของเจ้าเลยที่ รับฟัง
-salinsiree
.
.
ครั้งหนึ่งเจ้าเคยเป็นที่รู้จักด้วยความสามารถและถิ่นที่มาช่างแตกต่าง เจ้าโดดเด่นจนเมื่อวันที่ได้รับบาดเจ็บและถูกทำลายให้หายไปจากโลกนี้.. ข้าไม่เคยได้ยินและเห็นอะไรเกี่ยวกับเจ้าอีก
บ้างว่าเจ้าตายสลายกลายเป็นฝุ่น บ้างว่าเจ้าเจ็บป่วยจนไม่อาจแม้ใช้ชีวิตให้ปกติ
บ้างว่าเจ้าเสียสติที่ดีไป จนเวลาผ่าน ดูคล้ายนานแสนนาน...
วันนี้ ข้าได้เห็นเจ้าอีกครั้ง ยืนอยู่บนที่สูง และมองลงมา... ข้ามั่นใจว่าใช่เจ้า
-Hs'
.
ข้าชื่นชอบที่จะอ่าน หลงไหลที่จะเขียน และข้าได้ฝันถึงการอ่านที่สงบและการเขียนที่ราบเรียบ
ในบั้นปลายชีวิตของข้า ข้าฝันว่าจะได้เห็นหญิงชราที่สะท้อนกลับมาเมื่อยามข้ามองดูกระจก แม้แท้จริงอาจไม่ใช่ดั่งที่ฝัน แต่ข้าสามารถที่จะฝันเพราะตัวข้าเองได้อนุญาตแล้ว
-salinsiree
.
ไกล้ถึงวันที่ข้าต้องออกเดินทาง เพื่อเยี่ยมเยียนสหายเก่าแก่ที่แสนดี เขาเป็นเจ้าชายที่ไม่นิทราเพราะเขาไม่ได้หลับตลอดเวลา และมักจะหัวเราะเสมอเมื่อไกล้ถึงเวลาที่ข้าจะไปหา
และเล่าเรื่องราวมากมายให้ฟัง
-salinsiree
.
"ไม่มีใครแบกรับภาระของสองโลกสองเวลาในหนึ่งชีวิตได้ยาวนาน" ข้าได้ยินคำกล่าวนี้และมองดูเจ้าที่ไปมาระหว่างสองโลกสองเวลาด้วยร่างกายที่อ่อนแอและสติที่เจ็บป่วยตลอดเวลา คำถามในใจคือ เจ้าเคยคิดเกี่ยวกับเวลาของตนเองบ้างหรือไม่
-L
.
เชื่อเถอะว่า ในโลกใบนี้และโลกใบนั้น ไม่มีใครอีกแล้วที่จะเป็น "ผู้ที่มีความคิดมากได้เท่ากับที่ข้านั้นคิดมาก" และ ไม่มีอีกแล้วเวลาที่เหลือ ข้าคิดว่าข้าใช้มันเกินแล้ว หากแต่นี่เป็นการ ยื้อ ระดับสุดยอดของคนอย่างข้าที่ไม่มีใครอีกแล้วทั้งในโลกใบนี้และโลกใบนั้นจะทำได้เท่ากับที่ข้าได้ทำ เชื่อเถอะ
-salinsiree
.
ว่าด้วยความจำเป็นที่ผู้อืนไม่เข้าใจ มันไม่สำคัญเท่ากับว่าความเข้าใจนี้เป็นเรื่องของใคร มันหาใช่ของผู้อื่นไม่ หากแต่เป็นเรื่องของเจ้า จึงไม่ผิดหากผู้อื่นไม่เข้าใจ จงแบกมันไว้ให้รู้ว่าเจ้ากำลังแบกรับอะไร เมื่อรู้-นั่นคือเจ้ารู้หน้าที่ของตน จงอยู่อย่างหนักแน่น และร้องไห้อย่าให้ใครได้ยิน
-s's
.
ข้าคลี่กระดาษ และใช้ปลายนิ้วรีดให้เรียบ ก่อนจะเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษ มันจะเป็นจดหมายตอบกลับผู้ที่ข้าเคารพว่า ข้าได้ทำแล้ว และทำสำเร็จแล้ว ตอนนี้ข้าได้เดินทางกลับมายังที่ของตนและพกพาความเจ็บป่วยที่มากขึ้นมาด้วย ข้าหวังว่าท่านจะอวยพรให้ข้าดีขึ้นในเร็ววัน
-salinsiree
.
เขาบอกว่าข้าชอบโวยวายและมักจะคุยไม่รู้เรื่อง และมันก็ใช่ที่ข้ามักจะโวยวายยามที่เขาทำให้ข้าร้องไห้ ยามที่เขาทำให้ข้าเสียใจ ยามที่เขาเข้าใจข้าในแบบที่ผิดแปลก ข้าจึงโวยวายทั้งน้ำตาเสมอ
ให้เหมือนกับเด็กที่งี่เง่า ให้เหมือนกับสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับเขา
แม้ว่าเขาจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่เรียกว่าพี่น้อง เพราะความไม่แท้ทางสายเลือดที่ทำให้เราต้องทำสงครามเย็นกันบ่อยครั้งมากกว่าพูดคุยกันเหมือนพี่น้อง
-salinsiree
.
ข้าได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับเขา อดีตซาตานที่ข้าเคยมองเห็นหัวใจ ซานตานที่เคยครอบครองกายและจิตวิญญาณของข้า และยังเป็นซาตานที่ข้าได้เคยครอบครองเช่นกัน พร้อมทั้งควักหัวใจของเขาออกมาดูเล่นอยู่บ่อยครั้ง เขาถามเกี่ยวกับชีวิตที่บัดซบของข้าจากผู้อื่นเมื่อยามที่เขาท่องมาในโลกที่ไกล้กันกับโลกของข้า และเอ่ยว่า ข้านั้นไม่สมควรที่จะอยู่ ข้านั้นสมควรหายไป
สมควรที่จะตายตั้งแต่วันที่เดินออกมาจากชีวิตเขา
-salinsiree
.
ข้าพึ่งได้หนังสือมาเพิ่มในบ้านของข้าสองเล่ม the long valley และ detective tabito higurashi's finding things และข้ากำลังอ่าน thelongvalley
-salinsiree
.
เจ้าเป็นเด็กฝึกหัดที่ข้าไม่เคยมีความต้องการใช้คำว่าลูกศิษย์ เจ้าเป็นเด็กที่ล้าหลังผู้อื่นในทุกๆด้านที่นี่ แม้จะถูกส่งมาเป็นกรณีพิเศษว่าเจ้านั้นเจ็บป่วย หากแต่ต้องการมาฝึกฝนเพื่อเพิ่มทักษะและความแข็งแรง พวกเขากล่าวว่าเจ้าเคยเก่งกาจและมีคำพูดเป็นเลิศมาก่อนหน้าที่จะเจ็บป่วย แต่ข้าได้เห็นว่าเจ้านั้นไม่ยอมพูดอีกทั้งเมื่อพูด ก็เป็นเพียงคำพูดที่น้อยนิดและประหม่าอย่างชัดเจน แต่เมื่อนานวันหลายสิ่งที่ได้เห็นจากเจ้า แต่ไม่อาจได้เห็นจากผู้อื่นจึงได้ปรากฎ และข้าเข้าใจ
แต่ก็ยังไม่ชอบหน้าเจ้าแม้วันที่เจ้าบอกลา และกลับไป
-hinata ss
.
และมาจนถึงวันนี้
ข้าเป็นเพียงคนเดียวในบรรดาสิ่งมีชีวิตในชั้นเรียนรุ่นนั้น ที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้จะดูร่อแร่
แต่ข้าก็ยังเป็นคนเดียวที่อยู่รอด (หัวเราะ)
-salinsiree
.
แต่บางที อาจเพราะอายุขัยข้าอาจมีมากกว่าพวกเขาเหล่านั้นอยู่หน่อยนึงก็ได้นะอาจารย์
-salinsiree
....
.........................................................................................................

salinsiree quotes .1
salinsiree quotes .2
salinsiree quotes .3
salinsiree quotes .4
salinsiree quotes .5
salinsiree quotes .6

salinsiree quotes .7
salinsiree quotes .8
salinsiree quotes .9
 ...............................................................................................................................
🍃🌸🍃🌸🍃🌸🍃
©salinsiree
If you have any questions, or would like to talk, contact me!

salinsiree.witchy@yahoo.com