เล่าหนังสือ : THE BLACK BOOK บัญชีดำ ลับ ลวง ตาย


เล่าหนังสือ  : THE BLACK BOOK บัญชีดำ ลับ ลวง ตาย - เรื่องนี้เป็นนิยายอาชญากรรมที่สะท้อนถึงการคอร์รัปชันในวงการตำรวจชิคาโก โดยมีจุดเริ่มต้นเรื่องราวเกี่ยวกับคดีอื้อฉาว "ซ่องของชนชั้นสูงแห่งหนึ่ง" ที่ถูก "ผม" หรือ บิลลี่ ฮาร์นีย์ ซึ่งเป็นนายตำรวจและเป็นตัวเอกของเรื่อง จะเป็นคนเดินเรื่อง เมื่อเขานำทีมตำรวจบุกเข้าสถานที่แห่งนี้ และได้จับกุมคนใหญ่คนโต และคนที่มีชื่อเสียงอีกมากมาย
.
และนั่นคือจุดเริ่มต้น มันนำไปสู่การตามล่า เพื่อหา "บัญชีดำ" ซึ่งเป็นการผูกปมของเรื่องทั้งหมดและตัวละครต่างๆเอาไว้ด้วยกัน ในเมื่อทุกๆคนก็ต้องการ บัญชีดำเล่มนี้ ในหลายๆเหตุ ต่างคนต่างเหตุผล ซึ่งมันก็เข้มข้นตรงนี้แหละ
.
ทั้งความอื้อฉาว คดโกงและการหักหลัง หลอกลวง คำโกหก ความเชื่อใจและไม่ไว้วางใจ บลาๆๆๆ ความรู้สึกต่างๆเหล่านี้ที่ตัวละครแต่ละตัวถ่ายทอดออกมา มันจะคอยตามหลอกหลอนคุณซึ่งเป็นผู้อ่านไปตลอดทั้งเรื่อง เมื่อคุณเดา คุณจะพลาด เมื่อคุณพลาด เรื่องใหม่จะเกิดขึ้นให้คุณได้สงสัยอีกอยู่เรื่อยไป ซึ่งมันสนุกมาก เนื่องจากตอนแรกคิดว่าจะเป็นเรื่อง ตำรวจจ๋า-ตำรวจแจ๋ หรือเปล่า แต่กลับกลายเป็นว่า ตำรวจก็มีเรื่องราวของตนให้เล่า แถมยังเล่าได้ดีอีกด้วย
.
หลังจาก บิลลี่ ถูกยิงอย่างโหดเหี้ยมที่สมอง ฟิ้ว~ และถูกปล่อยให้นอนตายในห้องพักซึ่งมีอีก สองศพ คือ อดีตสาวคู่หูของเขา และสาวผู้ช่วยอัยการรัฐอีกคนในร่างเปลือยเปล่า... แต่...บิลลี่กลับรอดชีวิตในท้ายที่สุด.... (กระสุนเจาะสมองก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เอาสิ!)
.
แถมพอรอดชีวิตมาแล้ว ยังถูกตั้งข้อหาคดีฆาตกรรม และเรื่องอื่นๆที่เขาไม่ได้ทำอีกด้วยนะ
.
เขาจำอะไรไม่ได้เกี่ยวกับเหตุการณ์สังหารในครั้งนั้น ความทรงจำในเรื่องนั้นหายไปในหลุมดำหลังจากฟื้นตัว สมองพึ่งสมาน ร่างกายพึ่งมีความรู้สึก เขาก็พยามยามเดินตามรอยเพื่อสืบหาความจริง เพื่อพยายามจำให้ได้ และยังคอยมองหาบัญชีดำ ซึ่งอาจจะทำให้ชีวิตเขารอดพ้นเป็นอิสระ หรือ อาจจะทำให้เขาล่มจม และตกลงเหวก็ได้เช่นเดียวกัน
.
เนื้อเรื่องจะเล่าสลับระหว่าง อดีตที่บิลลี่ยังไม่ได้ถูกยิงและพยายามสืบหาบัญชีดำ กับ ปัจจุบันหลังจากฟื้นจากการถูกยิง และพยายามฟื้นความจำ ไปจนถึงตอนจบ ที่ "ความทรงจำกลับมา" ในเรื่องมีการซ่อนงำเร้นอารมณ์ให้ผู้อ่านคาดเดาไม่ได้ มีความระแวง และสงสัยตั้งแง่ในตัวละครแต่ละตัว คนไหน... คนนี้.. หรือใคร..
.
"ผม" หรือบิลลี่ ฮาร์นีย์ คอยเดินเรื่องและเล่าเหตุการณ์ต่างๆ รวมถึงตัวละครอื่นๆจะค่อยๆคอยเสริมเนื้อเรื่องเข้ามาเป็นระยะห่างๆ... ไปจนถึงตอนจบที่หักมุม.. หักมุมแล้ว หักมุมอีก สนุกมากๆ แถมยังชอบที่ตนเองซึ่งเป็นผู้อ่านแอบเดา "ผู้กระทำผิดตัวจริงได้" แม้กลางๆเรื่องจะเดาผิดก็ตาม แหะ แหะ แต่เชื่อว่าหลายคนเดาได้ หรือถ้าเดาไม่ได้ก็อาจจะสะอึกกับการหักมุมของเรื่องได้เลย
.
อ้อ! ในเล่มนี้ ยังมีรายละเอียดละเล็กละน้อยของความรัก ความหวัง แล้วก็ความหลังที่เจ็บปวด มีเรื่องสายสัมพันธ์ของครอบครัว พี่น้อง และมิตรภาพ มีความดร่าม่า และแน่นอน เซ็กซ์... มันไม่ใช่เรื่องตำรวจ๋า-ตำรวจแจ๋นะ การสืบสวนสอบสวนก็ทำได้ดี เข้มข้น มีครบทุกรสตามแบบฉบับ James Patterson (เจมส์ แพตเตอร์สัน) แล้วก็อยูาลืมผู้เขียนอีกคน คือ David Ellis (เดวิด เอลลิส) ด้วยนะ เขาเป็นนักกฎหมาย แล้วก็เป็นนักเขียนนวนิยายอาชญากรรม เขาร่วมเขียนกับแพตเตอร์สันอยู่หลายเรื่องอยู่นะ แต่คนส่วนมากเวลาพูดถึงเรื่องนี้ ก็จะเอ่ยชื่อแต่ เจมส์ แพทเตอร์สัน คนเดียวง่ายๆ ซึ่งส่วนตัวตนคิดว่า ไม่ค่อยดี กลัวเอลลิสน้อยใจน่ะ เลยขอเล่าให้ข้อมูลเกี่ยวกับเขาสักเล็กน้อยนะ
.
ส่วนตัวเป็นเรื่องที่ท้าทายอีกเรื่องหนึ่งสำหรับตนซึ่งเป็นผู้อ่าน เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับตำรวจ ตำรวจ และ ตำรวจ ซึ่งส่วนตัวยังไม่เคยอ่านเรื่องที่เกี่ยวกับตำรวจทั้งเรื่อง ถ้ามีก็คงน้อยมากเพราะลองนึกตอนนี้ก็ยังนึกไม่ออก... มีแต่ตำรวจสืบสวนสอบสวนนิดหน่อยเป็นส่วนประกอบของเรื่อง หรืออาจจะเดินเรื่องหลักเลย เป็นตัวเอกเลยก็มี แต่ไม่ใช่เรื่องเล่าของกรมตำรวจใหญ่ๆแบบนี้
.
แต่เรื่อง THE BLACK BOOK นี้จะเกี่ยวกับกรมตำรวจ ทั้งดีและเลว เกี่ยวกับผลประโยชน์ มีทั้งทนายและอัยการ การขึ้นศาล กฏหมาย คำศัพท์ใหม่ๆในแวดวงต่างๆเหล่านี้ให้อะไรๆ ใหม่ๆ กับตนซึ่งเป็นผู้อ่าน ที่เคยเห็นบางฉากตามซีรีย์ แต่เปลี่ยนเป็นอ่านจากหนังสือแทน ซึ่งก็ยังย้ำว่ามันสนุกมาก อยากจะบอกว่าอ่านรวดเดียวจบ แต่ก็บอกไม่ได้ เพราะอ่านตอนค่ำในวันหนึ่ง แล้วมาจบลงในวันต่อมา เพราะมนุษย์ก็ต้องมีเวลาเข้านอนนั่นเอง ส่วนจะนอนหลับ หรือไม่หลับนั้น ก็ค่อยว่ากันไป
'
'
เก็บตก : สุดท้ายก็คือยังไม่รู้ว่าใครฆ่านักศึกษาสาว ผู้ที่คาดว่าอาจเป็นผู้หญิงขายบริการ ตรงนี้ตลกแล้วก็ขำอ่ะ แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องโดยตรง แค่เป็นตัวเปิดเรื่องให้ "เรื่องเริ่มต้น"
.
หนังสือ  : THE BLACK BOOK บัญชีดำ ลับ ลวง ตาย
ผู้เขียน : James Patterson / Davis Ellis
ผู้แปล : วรรธนา วงษ์ฉัตร
สนพ. Maxx Publishing

เล่าหนังสือ : วันที่เหมาะกับขนมปัง ซุป และแมว


หนังสือ "วันที่เหมาะกับขนมปัง ซุป และแมว" เป็นเรื่องราวที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น และความหวัง ภาษาเขียนอ่านง่ายสบายใจถูกจริตกับตนเป็นอย่างมาก

มันอบอวลไปด้วยการสะท้อนให้เห็นชีวิตของ "อากิโกะ" ตัวเอกของเรื่องที่เริ่มต้นจากวัยเยาว์จนถึงวัยกลางคน การเปลี่ยนผ่านและการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาเหล่านั้นสอดแทรกแง่คิดเอาไว้มากมาย ทั้งจากผ่านมุมมองของอากิโกะที่มีต่อมารดา ต่อการงาน และเรื่องราวรอบตัว รวมถึงเรื่องอาหารอันเป็นดวงใจของเรื่อง (ซึ่งเป็นจุดที่โปรดปรานของตน "ผู้อ่าน" เป็นการส่วนตัว)

จนเมื่อมาถึงจุดเปลี่ยนผ่านกระทันหันในวัยกลางคน ทำให้อากิโกะต้องลาออกจากงานที่ทำมานานแสนนาน และยังต้องใช้ชีวิตคนเดียวเมื่อมารดาของตนเสียชีวิตกระทันหัน รวมถึงได้ทิ้งร้านอาหารซึ่งเปรียบได้ว่าเป็นจุดสำคัญในการตัดสินใจครั้งใหญ่ของอากิโกะในวัยกลางคน ว่าจะทำอย่างไรกับร้านอาหารของผู้เป็นมารดาที่ตนมักจะมองในมุม "ที่ไม่พอใจแต่ก็เข้าใจ" อยู่บ่อยครั้ง ถึงวิถีการจัดการร้านของมารดา ต่อลูกค้า และอื่นๆเรื่อยมาตั้งแต่เธอยังเด็กจนถึงตอนนี้

จนในที่สุดอากิโกะก็เลือกที่จะทำตามฝันใน "เรื่องอาหาร" เริ่มต้นจากการเรียนรู้ อดทน และใส่ใจในรายละเอียดต่างๆของการทำอาหาร ส่วนตัวชอบการบรรยายถึงขั้นตอนในการทำอาหารในแต่ละอย่างไม่ว่าจะสั้นหรือยาวในแต่ละบท "เพราะผู้อ่านเป็นคนชอบทำอาหาร" และแน่นอนว่าร้านอาหารในฝันของอากิโกะต้องแตกต่างจากแนวทางที่มารดาเคยทำมาตลอดชีวิต อากิโกะเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงร้านใหม่ให้เป็นไปในแบบที่ตนชื่นชอบในทุกๆอย่าง ใส่ใจในทุกๆขั้นตอน

และเลือกตัดสินใจทำอาหารอย่าง "แซนด์วิช ซุป สลัด ผลไม้จานเล็ก ขนมปังมีแบบโฮลวีตและใช้ยีสต์ธรรมชาติ เลือกได้จากสองชนิดนี้" นี่คือรายการอาหารหลัก จากกระดานดำขนาดเล็กแบบตั้งได้ ที่อากิโกะเขียนด้วยชอล์กเพื่อตั้งหน้าร้าน ให้ลูกค้าได้เห็น-อ่าน

การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ยิ่งใหญ่นักสำหรับจิตใจของอากิโกะ

ทั้งกระแสตอบรับที่ไม่ดีจากลูกค้าเก่า ร้านค้าข้างเคียง การตำหนิติเตียนจากผู้คนรอบตัวที่แนะนำเชิงตำหนิ และยังมีการไปมาของผู้คนที่คอยหอบหิ้วเรื่องราวต่างๆมาทิ้งไว้ที่หัวใจของอากิโกะให้ได้คิดมากและตระหนักนั่นนี่อยู่เสมอ

ซึ่งอากิโกะก็น้อมรับทุกๆความเห็นทุกๆเรื่องราวที่เข้ามาด้วยความสงบนิ่ง และไม่เคยเลยที่จะโต้ตอบด้วยอาการขุ่นเคือง แม้ในใจจะไม่พอใจอย่างไรก็จะอดทน ไม่โต้ตอบให้มีเรื่องยุ่งยากมากกว่าเดิม ซึ่งส่วนตัวชื่นชอบและนับถือความหนักแน่นในตรงนี้ของอากิโกะมากๆ ขนาดบางครั้งอ่านเจอถ้อยคำติเตียนท่อนไหนในบทใดก็ตาม เราเองยังอยากตอบโต้และรู้สึกอยากเถียงแทนอากิโกะเอามากๆ ถือว่าเอานิสัยจุดนี้ของอากิโกะมาปรับใช้กับตนได้ในหลายๆเรื่อง ทำให้บางครั้ง ปล่อยวางและ ใจเย็นลง...

แต่อากิโกะก็มีตัวช่วยในการปลอบโยนจิตใจของตนเองด้วยเช่นกัน และนั่นก็คือ "เจ้าทาโระ" แมวลายสลิดตัวอ้วนกลมป๊อก ที่อากิโกะได้รับมาเลี้ยงดูแล หลังจากเจอมันนอนคุดคู้อยู่ตรงซอกข้างร้านตอนช่วงที่เปิดร้านใหม่ๆ เมื่ออากิโกะเหนื่อยล้าจากการทำงานภายในร้านของตนที่อยู่ชั้นล่าง การเลิกงานและกลับขึ้นมาชั้นบนและพบเจอกับทาโระและการออดอ้อนของมันนั้น มันช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าในหลายๆเรื่องให้เบาลงอยู่ เรียกว่า ครอบครัวนี้มันกัน หนึ่งคน หนึ่งตัว สองสิ่งมีชีวิตที่ต้องพึ่งพากันนั่นเอง

เจ้าทาโระทำให้อากิโกะได้เรียนรู้ความหมายของความเศร้า และสุข รวมถึงคอยให้กำลังใจอากิโกะ คอยอยู่เป็นเพื่อน คอยเคียงข้างในรูปแบบเหมียวๆตั้งแต่ตอนต้นเรื่องจนถึงตอนท้ายเรื่อง มันจะทำให้ผู้อ่านที่รักแมวต้องทอดถอนใจเพราะความรักในแบบเหมียวๆระหว่างเจ้าทาโระที่เป็นสัตว์เลี้ยง และตัวอากิโกะที่เป็นเจ้าของ

หนังสือเล่มเล็กๆนี้จึงเต็มไปด้วยความเรียบง่ายที่แฝงความหมายของความรู้สึกไหลวนที่เบาบางแต่หนักแน่น ทั้งทางความรู้สึก นึกคิด มันไม่ใชเรื่องที่เครียดหรือหนักแน่นไปด้วยความดร่าม่า ไม่ใช่แนวผจญภัยหรือสืบสวน แต่เป็นแนวเฉพาะทางที่สบายใจ ที่คุณควรลองอ่านดูสักครั้ง หรืออาจมอบให้ใครสักคนหากคุณต้องการ ในเรื่องนี้ผู้อ่านจะเน้นย้ำเสมอ "หากไม่รับ จงส่งต่อ"

-----------------------------------
หากคุณต้องการหนังสือเล่มนี้ สามารถสั้งซื้อได้ผ่านทางร้านหนังสืออิสระต่างๆ หรือสั่งผ่านทางเพจ สนพ. โดยตรงได้เช่นกันเพราะส่วนตัวก็สั่งผ่านทางเพจ สนพ.โดยตรง (หากตอนนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนะ)
-----------------------------------
หนังสือ : วันที่เหมาะกับขนมปัง ซุป และแมว
มูเระ โยโกะ : เขียน
สิริพร คดชาคระ : แปล
jiranarong : วาดภาพประกอบ
สนพ. Sandwich Publishing

บันทึก : ไดอารี่ I ข้าเขียน หลังจากไม่อาจนอนหลับ


ข้าได้บันทึกอักษรเหล่านี้หลังจากกลืนยานอนหลับลงไป ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ข้านั้นดิ้นทุรนทุรายด้วยความร้อนรนแห่งเงามืดที่คลืบคลานจากปลายเตียงสู่การสัมผัสร่างอันผอมบาง มีเพียงเนื้อหนังบางๆปกปิดกระดูก ข้าหายใจไม่ออกจากความทุกข์อันแสนดำมืด-ลึกลับที่ทับถม มันหนา และไม่มีความบาง... ความเจ็บป่วยกัดกินตัวข้า กองไฟสุมในอก เปลวเพลิงเต้นเป็นริ้วสีดำอย่างอ่อนไหวแต่หนักแน่น ไม่อ่อนโยน มันเตือนตนให้รู้ว่าไฟนี้ยากนักที่จะมอดดับ

"จงตายเสียไปกับมันเถอะ" ความมืดกระซิบข้างหู บางเบาแต่สะท้อนกึกก้องดิ่งลงกระทบใจที่เต้นเร็วอย่างอ่อนแอไม่เป็นจังหวะอย่างที่ควรจะเป็น จิตวิญญาณของข้านั้นเป็นรูโหว่ และหลุมดำเหล่านั้นเข้ามามีอำนาจเหนือแสงใดที่คนบาปหนาเช่นข้ายากนักจะได้มองเห็น

เพียง แสงสีเทาหม่นๆจากหน้าต่างหลังจากปิดไฟ

เมื่อแสงพลันดับลง หน้าต่างทรงสี่เหลี่ยมปลายเตียงคือแสงเดียวที่ย่างกรายมาจากภายนอกกรงขังสี่เหลี่ยมของคนบาปเช่นข้า ข้านอนมองมัน หรือมันเองที่คอยเฝ้าดูข้า นั่นก็ไม่อาจรู้ได้ หน้าต่างก็ไม่เคยตอบกลับใดๆเช่นกัน

ความทุกข์ ความหม่นหมอง ความเจ็บปวด ความเคียดแค้น ชิงชัง ความโหยหารัก และความเจ็บป่วยกัดกินข้า มันเหงาและเดียวดายเหลือเกิน เมื่อมันหาทางส่งต่อความเจ็บป่วยใหม่ๆเข้ามาเพิ่มเติม ละเลงทาทับถมของเก่าเดิมที่ยังมี-ทั้งที่ยังไม่หายหรือยังไม่ได้รักษา ไปจนถึงส่วนที่เรื้อรังร่องแร่ง เพียงเพื่อหาทางให้ข้าได้เหยียบย่ำบนความทุกข์ใหม่ๆ มันหาได้ปล่อยให้ข้าได้พัก สองเท้าของข้าน้อยนักจะเปลี่ยนเส้นทางไปสู่ความหวัง

มันน้อยนัก หรือข้าอาจแทนมันด้วยคำว่า ไม่มีเลย ก็ยังได้...

สิ่งเดียวที่รู้คือยอมรับในการตายที่เคยโหยหา มันจะพรากเราไป เราไม่ได้พรากตนเอง มันจึงไม่ผิดพันธะใดๆที่เคยได้สัญญาศักดิ์สิทธิ์ไว้ ณ ที่ใดที่หนึ่งที่มิใช่โลกสามัญนี้

แต่หากมันเป็นสิ่งที่เรื้อรังเล่า หากมันเป็นความเจ็บป่วยที่หายยาก เพียงเพื่อต้องการให้ตัวข้าได้ทุกข์ทรมานอย่างยาวนานกับความเจ็บป่วยนั้น มากกว่าจะปลดปล่อยข้าให้เป็นอิสระจากการตายอย่างฉับพลันล่ะ

ข้ามีน้ำตาไหล ขณะบันทึกตัวอักษร ณ วรรคนี้ที่ไม่มีบทใดเป็นเจ้าของ

ณ เวลานี้ข้าไม่อาจแยกหลุมดำออกจากจิตใจของข้าได้อีกต่อไป ความมืดมีอำนาจเหนือข้าเรื่อยมา แม้เราจะมีข้อตกลงฉันมิตรในการอยู่ร่วมกัน แลกเปลี่ยนในการกัดกินกันและกัน จนเกลือบจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างมีชิ้นส่วนของกันและกัน

ณ เวลานี้ที่ยานอนหลับกำลังปล่อยแสงแห่งคำสาปมากกว่าพร มันไม่สามารถช่วยให้ข้าได้หลับ ได้นอน มันสู้ความวิตกกังวลในเรื่องที่บังเกิดกระทันหันไม่ได้ ความทุกข์กระทันหันที่พุ่งเข้ามากระแทกหลุมลึก ให้ลึกลงไปอีก ข้านั้นเจ็บปวดและหวาดกลัวในเรื่องเจ็บป่วยใหม่ที่อาจเรื้อรังอยู่ในขณะนี้ั

การเคลื่อนไหวของข้านั้นชักเชื่องช้า อาจเพราะยาที่ทำให้ร่างกายหนักอึ้ง การกระทำประหลาดผิดพลาดใดๆที่อาจทำให้เนื้อหาสับสนคงต้องขออภัย

ข้าไม่อาจนอนหลับได้

จิตแพทย์จะช่วยได้หรือ เมื่อข้าต้องเดินทางไปพบแล้วพูด คุย เล็กน้อยต่อหน้าเขา ในวันต่อมา

01:24 / 24-1-20

..............................................................

17:46 / 24-1-20
บันทึกอักษรนี้ บทนี้ บันทึกเมื่อเวลาเย็นย่ำในวันถัดมาหลังจากที่ข้านั้นได้เดินทางไปพบจิตแพทย์ ตอนนี้ตัวข้าสั่นเทา สมองทำงานในคลื่นที่ไม่เหมาะสม มันนิสัยไม่ดีนัก มักก่อกวนข้า กำเริบทุกวันในเวลาเดิมๆอยู่เสมอ อาจเปลี่ยนเวลาบ้างแต่ไม่เคยละเว้นในแต่ละวันเลย.... เย็นย่ำก็เอ่ยทักทายข้าเป็นว่าเล่น...

หนึ่งในร้อยคำที่เอื้อนเอ่ยออกมาในห้องสีขาวของหมอ ซึ่งมีกรอบรูปสี่เหลี่ยมเป็นดอกไม้สีขาวขอบกรอบไม้สีเขียวที่ข้าไม่ชอบ มันแปะบนผนังด้านซ้ายเมื่อข้านั่งลง

คือ ข้อตกลงในการเยียวยาเพื่อปรับเปลี่ยนตอนจบของเรื่องราวต่างๆในบันทึกของข้า จากที่จบลงด้วย สีดำ ให้เปลี่ยนเป็น สีเทา ในความคิดเห็นของข้า

แต่ในความคิดเห็นของหมอ คือการ จุดเปลวเทียนแห่งแสงระเรื่อสีขาวละเล็กละน้อยเป็นดวงไฟที่เคลื่อนไหวเบาๆ มันจะห้อยท้ายหลังจากความเรียงอันแสนเศร้าที่เจ็บปวดของข้า ไม่ว่าข้านั้นจะร่างอักษรสีดำเข้มหม่นมากน้อยแค่ไหนในตอนเริ่ม แต่ขอให้ก่อดวงไฟแห่งความหวังไว้ในตอนท้ายด้วย

ข้านั้นไม่อาจทำได้ในบันทึกนี้ เพราะมันกระทันหันเกินไป หมอกสีดำยังหนาเกินไปและข้าไม่อาจตั้งตัวได้ทันจะหลอกตัวเองเพื่อก่อดวงไฟแห่งความหวังนั้น

จึงจะขอให้บันทึกนี้ถูกแยกออกไปในหมวดหมู่ บันทึก : ไดอารี่

แล้วค่อยเริ่มใหม่