เล่าหนังสือ : THE BLACK BOOK บัญชีดำ ลับ ลวง ตาย


เล่าหนังสือ  : THE BLACK BOOK บัญชีดำ ลับ ลวง ตาย - เรื่องนี้เป็นนิยายอาชญากรรมที่สะท้อนถึงการคอร์รัปชันในวงการตำรวจชิคาโก โดยมีจุดเริ่มต้นเรื่องราวเกี่ยวกับคดีอื้อฉาว "ซ่องของชนชั้นสูงแห่งหนึ่ง" ที่ถูก "ผม" หรือ บิลลี่ ฮาร์นีย์ ซึ่งเป็นนายตำรวจและเป็นตัวเอกของเรื่อง จะเป็นคนเดินเรื่อง เมื่อเขานำทีมตำรวจบุกเข้าสถานที่แห่งนี้ และได้จับกุมคนใหญ่คนโต และคนที่มีชื่อเสียงอีกมากมาย
.
และนั่นคือจุดเริ่มต้น มันนำไปสู่การตามล่า เพื่อหา "บัญชีดำ" ซึ่งเป็นการผูกปมของเรื่องทั้งหมดและตัวละครต่างๆเอาไว้ด้วยกัน ในเมื่อทุกๆคนก็ต้องการ บัญชีดำเล่มนี้ ในหลายๆเหตุ ต่างคนต่างเหตุผล ซึ่งมันก็เข้มข้นตรงนี้แหละ
.
ทั้งความอื้อฉาว คดโกงและการหักหลัง หลอกลวง คำโกหก ความเชื่อใจและไม่ไว้วางใจ บลาๆๆๆ ความรู้สึกต่างๆเหล่านี้ที่ตัวละครแต่ละตัวถ่ายทอดออกมา มันจะคอยตามหลอกหลอนคุณซึ่งเป็นผู้อ่านไปตลอดทั้งเรื่อง เมื่อคุณเดา คุณจะพลาด เมื่อคุณพลาด เรื่องใหม่จะเกิดขึ้นให้คุณได้สงสัยอีกอยู่เรื่อยไป ซึ่งมันสนุกมาก เนื่องจากตอนแรกคิดว่าจะเป็นเรื่อง ตำรวจจ๋า-ตำรวจแจ๋ หรือเปล่า แต่กลับกลายเป็นว่า ตำรวจก็มีเรื่องราวของตนให้เล่า แถมยังเล่าได้ดีอีกด้วย
.
หลังจาก บิลลี่ ถูกยิงอย่างโหดเหี้ยมที่สมอง ฟิ้ว~ และถูกปล่อยให้นอนตายในห้องพักซึ่งมีอีก สองศพ คือ อดีตสาวคู่หูของเขา และสาวผู้ช่วยอัยการรัฐอีกคนในร่างเปลือยเปล่า... แต่...บิลลี่กลับรอดชีวิตในท้ายที่สุด.... (กระสุนเจาะสมองก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เอาสิ!)
.
แถมพอรอดชีวิตมาแล้ว ยังถูกตั้งข้อหาคดีฆาตกรรม และเรื่องอื่นๆที่เขาไม่ได้ทำอีกด้วยนะ
.
เขาจำอะไรไม่ได้เกี่ยวกับเหตุการณ์สังหารในครั้งนั้น ความทรงจำในเรื่องนั้นหายไปในหลุมดำหลังจากฟื้นตัว สมองพึ่งสมาน ร่างกายพึ่งมีความรู้สึก เขาก็พยามยามเดินตามรอยเพื่อสืบหาความจริง เพื่อพยายามจำให้ได้ และยังคอยมองหาบัญชีดำ ซึ่งอาจจะทำให้ชีวิตเขารอดพ้นเป็นอิสระ หรือ อาจจะทำให้เขาล่มจม และตกลงเหวก็ได้เช่นเดียวกัน
.
เนื้อเรื่องจะเล่าสลับระหว่าง อดีตที่บิลลี่ยังไม่ได้ถูกยิงและพยายามสืบหาบัญชีดำ กับ ปัจจุบันหลังจากฟื้นจากการถูกยิง และพยายามฟื้นความจำ ไปจนถึงตอนจบ ที่ "ความทรงจำกลับมา" ในเรื่องมีการซ่อนงำเร้นอารมณ์ให้ผู้อ่านคาดเดาไม่ได้ มีความระแวง และสงสัยตั้งแง่ในตัวละครแต่ละตัว คนไหน... คนนี้.. หรือใคร..
.
"ผม" หรือบิลลี่ ฮาร์นีย์ คอยเดินเรื่องและเล่าเหตุการณ์ต่างๆ รวมถึงตัวละครอื่นๆจะค่อยๆคอยเสริมเนื้อเรื่องเข้ามาเป็นระยะห่างๆ... ไปจนถึงตอนจบที่หักมุม.. หักมุมแล้ว หักมุมอีก สนุกมากๆ แถมยังชอบที่ตนเองซึ่งเป็นผู้อ่านแอบเดา "ผู้กระทำผิดตัวจริงได้" แม้กลางๆเรื่องจะเดาผิดก็ตาม แหะ แหะ แต่เชื่อว่าหลายคนเดาได้ หรือถ้าเดาไม่ได้ก็อาจจะสะอึกกับการหักมุมของเรื่องได้เลย
.
อ้อ! ในเล่มนี้ ยังมีรายละเอียดละเล็กละน้อยของความรัก ความหวัง แล้วก็ความหลังที่เจ็บปวด มีเรื่องสายสัมพันธ์ของครอบครัว พี่น้อง และมิตรภาพ มีความดร่าม่า และแน่นอน เซ็กซ์... มันไม่ใช่เรื่องตำรวจ๋า-ตำรวจแจ๋นะ การสืบสวนสอบสวนก็ทำได้ดี เข้มข้น มีครบทุกรสตามแบบฉบับ James Patterson (เจมส์ แพตเตอร์สัน) แล้วก็อยูาลืมผู้เขียนอีกคน คือ David Ellis (เดวิด เอลลิส) ด้วยนะ เขาเป็นนักกฎหมาย แล้วก็เป็นนักเขียนนวนิยายอาชญากรรม เขาร่วมเขียนกับแพตเตอร์สันอยู่หลายเรื่องอยู่นะ แต่คนส่วนมากเวลาพูดถึงเรื่องนี้ ก็จะเอ่ยชื่อแต่ เจมส์ แพทเตอร์สัน คนเดียวง่ายๆ ซึ่งส่วนตัวตนคิดว่า ไม่ค่อยดี กลัวเอลลิสน้อยใจน่ะ เลยขอเล่าให้ข้อมูลเกี่ยวกับเขาสักเล็กน้อยนะ
.
ส่วนตัวเป็นเรื่องที่ท้าทายอีกเรื่องหนึ่งสำหรับตนซึ่งเป็นผู้อ่าน เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับตำรวจ ตำรวจ และ ตำรวจ ซึ่งส่วนตัวยังไม่เคยอ่านเรื่องที่เกี่ยวกับตำรวจทั้งเรื่อง ถ้ามีก็คงน้อยมากเพราะลองนึกตอนนี้ก็ยังนึกไม่ออก... มีแต่ตำรวจสืบสวนสอบสวนนิดหน่อยเป็นส่วนประกอบของเรื่อง หรืออาจจะเดินเรื่องหลักเลย เป็นตัวเอกเลยก็มี แต่ไม่ใช่เรื่องเล่าของกรมตำรวจใหญ่ๆแบบนี้
.
แต่เรื่อง THE BLACK BOOK นี้จะเกี่ยวกับกรมตำรวจ ทั้งดีและเลว เกี่ยวกับผลประโยชน์ มีทั้งทนายและอัยการ การขึ้นศาล กฏหมาย คำศัพท์ใหม่ๆในแวดวงต่างๆเหล่านี้ให้อะไรๆ ใหม่ๆ กับตนซึ่งเป็นผู้อ่าน ที่เคยเห็นบางฉากตามซีรีย์ แต่เปลี่ยนเป็นอ่านจากหนังสือแทน ซึ่งก็ยังย้ำว่ามันสนุกมาก อยากจะบอกว่าอ่านรวดเดียวจบ แต่ก็บอกไม่ได้ เพราะอ่านตอนค่ำในวันหนึ่ง แล้วมาจบลงในวันต่อมา เพราะมนุษย์ก็ต้องมีเวลาเข้านอนนั่นเอง ส่วนจะนอนหลับ หรือไม่หลับนั้น ก็ค่อยว่ากันไป
'
'
เก็บตก : สุดท้ายก็คือยังไม่รู้ว่าใครฆ่านักศึกษาสาว ผู้ที่คาดว่าอาจเป็นผู้หญิงขายบริการ ตรงนี้ตลกแล้วก็ขำอ่ะ แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องโดยตรง แค่เป็นตัวเปิดเรื่องให้ "เรื่องเริ่มต้น"
.
หนังสือ  : THE BLACK BOOK บัญชีดำ ลับ ลวง ตาย
ผู้เขียน : James Patterson / Davis Ellis
ผู้แปล : วรรธนา วงษ์ฉัตร
สนพ. Maxx Publishing

เล่าหนังสือ : วันที่เหมาะกับขนมปัง ซุป และแมว


หนังสือ "วันที่เหมาะกับขนมปัง ซุป และแมว" เป็นเรื่องราวที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น และความหวัง ภาษาเขียนอ่านง่ายสบายใจถูกจริตกับตนเป็นอย่างมาก

มันอบอวลไปด้วยการสะท้อนให้เห็นชีวิตของ "อากิโกะ" ตัวเอกของเรื่องที่เริ่มต้นจากวัยเยาว์จนถึงวัยกลางคน การเปลี่ยนผ่านและการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาเหล่านั้นสอดแทรกแง่คิดเอาไว้มากมาย ทั้งจากผ่านมุมมองของอากิโกะที่มีต่อมารดา ต่อการงาน และเรื่องราวรอบตัว รวมถึงเรื่องอาหารอันเป็นดวงใจของเรื่อง (ซึ่งเป็นจุดที่โปรดปรานของตน "ผู้อ่าน" เป็นการส่วนตัว)

จนเมื่อมาถึงจุดเปลี่ยนผ่านกระทันหันในวัยกลางคน ทำให้อากิโกะต้องลาออกจากงานที่ทำมานานแสนนาน และยังต้องใช้ชีวิตคนเดียวเมื่อมารดาของตนเสียชีวิตกระทันหัน รวมถึงได้ทิ้งร้านอาหารซึ่งเปรียบได้ว่าเป็นจุดสำคัญในการตัดสินใจครั้งใหญ่ของอากิโกะในวัยกลางคน ว่าจะทำอย่างไรกับร้านอาหารของผู้เป็นมารดาที่ตนมักจะมองในมุม "ที่ไม่พอใจแต่ก็เข้าใจ" อยู่บ่อยครั้ง ถึงวิถีการจัดการร้านของมารดา ต่อลูกค้า และอื่นๆเรื่อยมาตั้งแต่เธอยังเด็กจนถึงตอนนี้

จนในที่สุดอากิโกะก็เลือกที่จะทำตามฝันใน "เรื่องอาหาร" เริ่มต้นจากการเรียนรู้ อดทน และใส่ใจในรายละเอียดต่างๆของการทำอาหาร ส่วนตัวชอบการบรรยายถึงขั้นตอนในการทำอาหารในแต่ละอย่างไม่ว่าจะสั้นหรือยาวในแต่ละบท "เพราะผู้อ่านเป็นคนชอบทำอาหาร" และแน่นอนว่าร้านอาหารในฝันของอากิโกะต้องแตกต่างจากแนวทางที่มารดาเคยทำมาตลอดชีวิต อากิโกะเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงร้านใหม่ให้เป็นไปในแบบที่ตนชื่นชอบในทุกๆอย่าง ใส่ใจในทุกๆขั้นตอน

และเลือกตัดสินใจทำอาหารอย่าง "แซนด์วิช ซุป สลัด ผลไม้จานเล็ก ขนมปังมีแบบโฮลวีตและใช้ยีสต์ธรรมชาติ เลือกได้จากสองชนิดนี้" นี่คือรายการอาหารหลัก จากกระดานดำขนาดเล็กแบบตั้งได้ ที่อากิโกะเขียนด้วยชอล์กเพื่อตั้งหน้าร้าน ให้ลูกค้าได้เห็น-อ่าน

การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ยิ่งใหญ่นักสำหรับจิตใจของอากิโกะ

ทั้งกระแสตอบรับที่ไม่ดีจากลูกค้าเก่า ร้านค้าข้างเคียง การตำหนิติเตียนจากผู้คนรอบตัวที่แนะนำเชิงตำหนิ และยังมีการไปมาของผู้คนที่คอยหอบหิ้วเรื่องราวต่างๆมาทิ้งไว้ที่หัวใจของอากิโกะให้ได้คิดมากและตระหนักนั่นนี่อยู่เสมอ

ซึ่งอากิโกะก็น้อมรับทุกๆความเห็นทุกๆเรื่องราวที่เข้ามาด้วยความสงบนิ่ง และไม่เคยเลยที่จะโต้ตอบด้วยอาการขุ่นเคือง แม้ในใจจะไม่พอใจอย่างไรก็จะอดทน ไม่โต้ตอบให้มีเรื่องยุ่งยากมากกว่าเดิม ซึ่งส่วนตัวชื่นชอบและนับถือความหนักแน่นในตรงนี้ของอากิโกะมากๆ ขนาดบางครั้งอ่านเจอถ้อยคำติเตียนท่อนไหนในบทใดก็ตาม เราเองยังอยากตอบโต้และรู้สึกอยากเถียงแทนอากิโกะเอามากๆ ถือว่าเอานิสัยจุดนี้ของอากิโกะมาปรับใช้กับตนได้ในหลายๆเรื่อง ทำให้บางครั้ง ปล่อยวางและ ใจเย็นลง...

แต่อากิโกะก็มีตัวช่วยในการปลอบโยนจิตใจของตนเองด้วยเช่นกัน และนั่นก็คือ "เจ้าทาโระ" แมวลายสลิดตัวอ้วนกลมป๊อก ที่อากิโกะได้รับมาเลี้ยงดูแล หลังจากเจอมันนอนคุดคู้อยู่ตรงซอกข้างร้านตอนช่วงที่เปิดร้านใหม่ๆ เมื่ออากิโกะเหนื่อยล้าจากการทำงานภายในร้านของตนที่อยู่ชั้นล่าง การเลิกงานและกลับขึ้นมาชั้นบนและพบเจอกับทาโระและการออดอ้อนของมันนั้น มันช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าในหลายๆเรื่องให้เบาลงอยู่ เรียกว่า ครอบครัวนี้มันกัน หนึ่งคน หนึ่งตัว สองสิ่งมีชีวิตที่ต้องพึ่งพากันนั่นเอง

เจ้าทาโระทำให้อากิโกะได้เรียนรู้ความหมายของความเศร้า และสุข รวมถึงคอยให้กำลังใจอากิโกะ คอยอยู่เป็นเพื่อน คอยเคียงข้างในรูปแบบเหมียวๆตั้งแต่ตอนต้นเรื่องจนถึงตอนท้ายเรื่อง มันจะทำให้ผู้อ่านที่รักแมวต้องทอดถอนใจเพราะความรักในแบบเหมียวๆระหว่างเจ้าทาโระที่เป็นสัตว์เลี้ยง และตัวอากิโกะที่เป็นเจ้าของ

หนังสือเล่มเล็กๆนี้จึงเต็มไปด้วยความเรียบง่ายที่แฝงความหมายของความรู้สึกไหลวนที่เบาบางแต่หนักแน่น ทั้งทางความรู้สึก นึกคิด มันไม่ใชเรื่องที่เครียดหรือหนักแน่นไปด้วยความดร่าม่า ไม่ใช่แนวผจญภัยหรือสืบสวน แต่เป็นแนวเฉพาะทางที่สบายใจ ที่คุณควรลองอ่านดูสักครั้ง หรืออาจมอบให้ใครสักคนหากคุณต้องการ ในเรื่องนี้ผู้อ่านจะเน้นย้ำเสมอ "หากไม่รับ จงส่งต่อ"

-----------------------------------
หากคุณต้องการหนังสือเล่มนี้ สามารถสั้งซื้อได้ผ่านทางร้านหนังสืออิสระต่างๆ หรือสั่งผ่านทางเพจ สนพ. โดยตรงได้เช่นกันเพราะส่วนตัวก็สั่งผ่านทางเพจ สนพ.โดยตรง (หากตอนนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนะ)
-----------------------------------
หนังสือ : วันที่เหมาะกับขนมปัง ซุป และแมว
มูเระ โยโกะ : เขียน
สิริพร คดชาคระ : แปล
jiranarong : วาดภาพประกอบ
สนพ. Sandwich Publishing

บันทึก : ไดอารี่ I ข้าเขียน หลังจากไม่อาจนอนหลับ


ข้าได้บันทึกอักษรเหล่านี้หลังจากกลืนยานอนหลับลงไป ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ข้านั้นดิ้นทุรนทุรายด้วยความร้อนรนแห่งเงามืดที่คลืบคลานจากปลายเตียงสู่การสัมผัสร่างอันผอมบาง มีเพียงเนื้อหนังบางๆปกปิดกระดูก ข้าหายใจไม่ออกจากความทุกข์อันแสนดำมืด-ลึกลับที่ทับถม มันหนา และไม่มีความบาง... ความเจ็บป่วยกัดกินตัวข้า กองไฟสุมในอก เปลวเพลิงเต้นเป็นริ้วสีดำอย่างอ่อนไหวแต่หนักแน่น ไม่อ่อนโยน มันเตือนตนให้รู้ว่าไฟนี้ยากนักที่จะมอดดับ

"จงตายเสียไปกับมันเถอะ" ความมืดกระซิบข้างหู บางเบาแต่สะท้อนกึกก้องดิ่งลงกระทบใจที่เต้นเร็วอย่างอ่อนแอไม่เป็นจังหวะอย่างที่ควรจะเป็น จิตวิญญาณของข้านั้นเป็นรูโหว่ และหลุมดำเหล่านั้นเข้ามามีอำนาจเหนือแสงใดที่คนบาปหนาเช่นข้ายากนักจะได้มองเห็น

เพียง แสงสีเทาหม่นๆจากหน้าต่างหลังจากปิดไฟ

เมื่อแสงพลันดับลง หน้าต่างทรงสี่เหลี่ยมปลายเตียงคือแสงเดียวที่ย่างกรายมาจากภายนอกกรงขังสี่เหลี่ยมของคนบาปเช่นข้า ข้านอนมองมัน หรือมันเองที่คอยเฝ้าดูข้า นั่นก็ไม่อาจรู้ได้ หน้าต่างก็ไม่เคยตอบกลับใดๆเช่นกัน

ความทุกข์ ความหม่นหมอง ความเจ็บปวด ความเคียดแค้น ชิงชัง ความโหยหารัก และความเจ็บป่วยกัดกินข้า มันเหงาและเดียวดายเหลือเกิน เมื่อมันหาทางส่งต่อความเจ็บป่วยใหม่ๆเข้ามาเพิ่มเติม ละเลงทาทับถมของเก่าเดิมที่ยังมี-ทั้งที่ยังไม่หายหรือยังไม่ได้รักษา ไปจนถึงส่วนที่เรื้อรังร่องแร่ง เพียงเพื่อหาทางให้ข้าได้เหยียบย่ำบนความทุกข์ใหม่ๆ มันหาได้ปล่อยให้ข้าได้พัก สองเท้าของข้าน้อยนักจะเปลี่ยนเส้นทางไปสู่ความหวัง

มันน้อยนัก หรือข้าอาจแทนมันด้วยคำว่า ไม่มีเลย ก็ยังได้...

สิ่งเดียวที่รู้คือยอมรับในการตายที่เคยโหยหา มันจะพรากเราไป เราไม่ได้พรากตนเอง มันจึงไม่ผิดพันธะใดๆที่เคยได้สัญญาศักดิ์สิทธิ์ไว้ ณ ที่ใดที่หนึ่งที่มิใช่โลกสามัญนี้

แต่หากมันเป็นสิ่งที่เรื้อรังเล่า หากมันเป็นความเจ็บป่วยที่หายยาก เพียงเพื่อต้องการให้ตัวข้าได้ทุกข์ทรมานอย่างยาวนานกับความเจ็บป่วยนั้น มากกว่าจะปลดปล่อยข้าให้เป็นอิสระจากการตายอย่างฉับพลันล่ะ

ข้ามีน้ำตาไหล ขณะบันทึกตัวอักษร ณ วรรคนี้ที่ไม่มีบทใดเป็นเจ้าของ

ณ เวลานี้ข้าไม่อาจแยกหลุมดำออกจากจิตใจของข้าได้อีกต่อไป ความมืดมีอำนาจเหนือข้าเรื่อยมา แม้เราจะมีข้อตกลงฉันมิตรในการอยู่ร่วมกัน แลกเปลี่ยนในการกัดกินกันและกัน จนเกลือบจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างมีชิ้นส่วนของกันและกัน

ณ เวลานี้ที่ยานอนหลับกำลังปล่อยแสงแห่งคำสาปมากกว่าพร มันไม่สามารถช่วยให้ข้าได้หลับ ได้นอน มันสู้ความวิตกกังวลในเรื่องที่บังเกิดกระทันหันไม่ได้ ความทุกข์กระทันหันที่พุ่งเข้ามากระแทกหลุมลึก ให้ลึกลงไปอีก ข้านั้นเจ็บปวดและหวาดกลัวในเรื่องเจ็บป่วยใหม่ที่อาจเรื้อรังอยู่ในขณะนี้ั

การเคลื่อนไหวของข้านั้นชักเชื่องช้า อาจเพราะยาที่ทำให้ร่างกายหนักอึ้ง การกระทำประหลาดผิดพลาดใดๆที่อาจทำให้เนื้อหาสับสนคงต้องขออภัย

ข้าไม่อาจนอนหลับได้

จิตแพทย์จะช่วยได้หรือ เมื่อข้าต้องเดินทางไปพบแล้วพูด คุย เล็กน้อยต่อหน้าเขา ในวันต่อมา

01:24 / 24-1-20

..............................................................

17:46 / 24-1-20
บันทึกอักษรนี้ บทนี้ บันทึกเมื่อเวลาเย็นย่ำในวันถัดมาหลังจากที่ข้านั้นได้เดินทางไปพบจิตแพทย์ ตอนนี้ตัวข้าสั่นเทา สมองทำงานในคลื่นที่ไม่เหมาะสม มันนิสัยไม่ดีนัก มักก่อกวนข้า กำเริบทุกวันในเวลาเดิมๆอยู่เสมอ อาจเปลี่ยนเวลาบ้างแต่ไม่เคยละเว้นในแต่ละวันเลย.... เย็นย่ำก็เอ่ยทักทายข้าเป็นว่าเล่น...

หนึ่งในร้อยคำที่เอื้อนเอ่ยออกมาในห้องสีขาวของหมอ ซึ่งมีกรอบรูปสี่เหลี่ยมเป็นดอกไม้สีขาวขอบกรอบไม้สีเขียวที่ข้าไม่ชอบ มันแปะบนผนังด้านซ้ายเมื่อข้านั่งลง

คือ ข้อตกลงในการเยียวยาเพื่อปรับเปลี่ยนตอนจบของเรื่องราวต่างๆในบันทึกของข้า จากที่จบลงด้วย สีดำ ให้เปลี่ยนเป็น สีเทา ในความคิดเห็นของข้า

แต่ในความคิดเห็นของหมอ คือการ จุดเปลวเทียนแห่งแสงระเรื่อสีขาวละเล็กละน้อยเป็นดวงไฟที่เคลื่อนไหวเบาๆ มันจะห้อยท้ายหลังจากความเรียงอันแสนเศร้าที่เจ็บปวดของข้า ไม่ว่าข้านั้นจะร่างอักษรสีดำเข้มหม่นมากน้อยแค่ไหนในตอนเริ่ม แต่ขอให้ก่อดวงไฟแห่งความหวังไว้ในตอนท้ายด้วย

ข้านั้นไม่อาจทำได้ในบันทึกนี้ เพราะมันกระทันหันเกินไป หมอกสีดำยังหนาเกินไปและข้าไม่อาจตั้งตัวได้ทันจะหลอกตัวเองเพื่อก่อดวงไฟแห่งความหวังนั้น

จึงจะขอให้บันทึกนี้ถูกแยกออกไปในหมวดหมู่ บันทึก : ไดอารี่

แล้วค่อยเริ่มใหม่

เล่าหนังสือ : คืนวันอันแสนงาม ย่า อิลิโก อิลลาเรียน และผม : მე, ბებია, ილიკო და ილარიონი


เล่าหนังสือ📖 " คืนวันอันแสนงาม ย่า อิลิโก อิลลาเรียน และผม : მე, ბებია, ილიკო და ილარიონი " เป็นหนังสือที่ดี เรียบง่ายและมีคุณค่า หากคุณต้องการความ ซื่อๆ-บริสุทธิ์ใจ มีความเป็นบ้านๆ และเป็นมิตรในตัวเอง ดังที่ตัวละครในเรื่องกำลังถ่ายทอดตัวตนออกมาผ่านตัวอักษร คุณควรอ่านเรื่องนี้

(สั้นๆ "คืนวันอันแสนงาม")

.🌿
การใช้ภาษาในเรื่องนี้ จะเป็นคำบ้านๆ และมั่งคั่งด้วยคำผรุสวาทเป็นกุรุสๆ แต่ก็เป็นคำสบถจากคนดี ที่ปากร้ายแต่ใจดีนั่นแหละ พวกเขามีน้ำใจล้นเหลือแม้ยากจนขาดแคลนในช่วงสงคราม แต่พวกเขาก็รักกันมากๆ พอกันกับที่หาเรื่องแกล้งกันให้เจ็บแสบและขบขันตามวิถีของพวกเขาเองเช่นกัน

.🌿
เรื่องนี้จะเดินเรื่องโดย ซูริโก ซึ่งแทนตัวเองว่า ผม อยู่ในเรื่อง เขาอาศัยอยู่กับย่า และมีเพื่อนบ้านตัวร้ายใจดีสองคน เป็นคนดีที่ขี้เมาหน่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็รักซูลิโกสุดหัวใจ เหมือนกันกับที่ซูลิโกรักทั้งสองคนคือ อิลิโก และอิลลาเรียนสุดหัวใจเหมือนกับที่เขารักย่าของเขาเอง

.🌿
ซูลิโกจะุถ่ายทอดวิถีชีวิต และการอยู่อาศัย รวมถึงอาจมีการเอ่ยถึงสงครามโลกครั้งที่สองอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ไม่มากนัก แค่พอให้เข้าใจว่า ช่วงเวลาในเรื่องนี้กำลังมีสงครามเท่านั้น เพราะสิ่งสำคัญในหนังสือเรื่องนี้คือต้องการบอกเล่าผ่านซูลิโก ทั้งสิ่งสำคัญคือการศึกษา ทั้งเรื่องความรู้สึก นึกคิด และถ่ายทอดสายสัมพันธ์ของผู้คนที่เขารัก ที่อยู่รอบตัวเขา เขาไม่ใช่นักเรียนที่ดี และซนตามประสา แต่เขาก็พยายามทำมันจนสำเร็จด้วยดี ด้วยการเรียนจบและโตเป็นผู้ใหญ่ โดยผู้เขียนดุมบัดเซ ได้เปิดช่วงว่างในอนาคตของซูลิโกให้เรา ซึ่งเป็นผู้อ่านได้จินตนาการด้วยตนเอง

.🌿
แน่นอนว่าต้องดี เพราะซูลิโกได้สร้างความฝันบวกความหวังของเขาเอาไว้แล้วในตอนจบด้วยความมั่นใจ ทีนี้ก็อยู่ที่เราคือผู้อ่านว่าจะจินตนาการต่ออย่างไร

.🌿📖🌿💕

สรุป
- ในยุคนี้ ส่วนตัวคิดว่าเราควรมีหนังสือวรรณกรรมที่บริสุทธิ์มาครอบครองเป็นของตนเอง หรือควรอ่านมัน มีมันสักเล่มซะบ้าง หนังสือเล่มนี้ เรื่องนี้ อาจไม่เหมาะกับผู้คนที่ชื่นชอบแนวแฟนตาซี หรือสืบสวนสอบสวน หรือ ภจญภัย หรีออื่นๆที่เฉพาะทางจำพวกใดจำพวกหนึ่ง แต่ถ้าหากคุณมีความรักในการอ่านที่มีความหลากหลายแนว (เช่นตัวฉันเองเนี่ย....) หรือเคยอ่านหนังสือชุด บ้านเล็กในป่าใหญ่ หรือ ลิตเติ้ลทรี มาแล้ว คุณสามารถอ่านเรื่องนี้ได้สบายๆเลย

💕📖💕
- ส่วนตัวเรายังอยากให้เรื่องนี้บอกเล่าหรือบรรยายการใช้ชีวิต และวิถีการกินอยู่ของผู้คนในยุคนั้น ช่วงเวลาเหล่านั้นให้มากกว่านี้ รวมถึงธรรมชาติป่าเขาที่อยู่อาศัย อยากให้มีการบรรยายและเจาะลึกกว่านี้สักนิด มันคือความรู้สึกส่วนตัว เพราะมันจะเป็นเรื่องจริงที่เราคนในยุคปัจจุบันจะได้รับรู้และเรียนรู้ ทั้งอาหารการกิน บลาๆๆ เกี่ยวกับรอบตัวของผู้คนในช่วงเวลานั้นๆทำกัน บลาๆๆ นั่นแหละที่เราอยากเห็นและรับรู้มากกว่านี้ แต่เพราะเรื่องนี้จะเกี่ยวกับการถ่ายทอดสายสัมพันธ์ของผู้คนรอบตัวซูลิโก และการดำเนินชีวิตของเขา (ซึ่งเราก็ชอบมากๆอยู่ แค่นิสัยไม่ดีอยากได้มากกว่านี้เอง เราผิดเองแหละ...)
....

📌ขออนุญาต-ยกบางท่อนของการเบียดเสียดกันขึ้นรถไฟในหน้าหนังสือที่อ่านแล้วขำอ่ะ เป็นตอนของบทที่มีชื่อว่า รถไฟ

------

"ยืนหาหอกอะไรอยู่ ! เดินไปซี !''

''เอาตีนออกจากหัวกู !''

''ไม่ต้องห่วง คุณ ผมเพิ่งล้างเท้า !''

''งั้นก็เอาอีกข้างวางบนหัวกูด้วยซิ !''

''ชกมัน !''

''ทำไมเขาชกฉันนะ !''

''สุภาพบุรุษขอทางหน่อย ผมมีตั๋ว !''

''ยึดมันไว้ให้ดี !''

''ฉันถูกขโมย !''

''วางกระเป๋าลง, ไอ้ลูกหมา มีแต่ลูกแพร์ !''

''ตำรวจ ! ยิง !''

''ยิงใคร ! ขโมยอยู่ไหน''

''งั้นยิงผม !''

''เดินต่อไป !''

---------------------------------------------------------

อยากให้ทุกคนหันมาใส่ใจและห่วงใยวรรณกรรมดีๆ และสนับสนุนสำนักพิมพ์ดีๆที่คอย "ก่อสร้างหนังสือดีๆ" มาให้เราได้อ่านกันนะคะ💕📖

--------------------------------------------------------

หากคุณต้องการหาซื้อหนังสือเล่มนี้เพื่อมาอ่านหรือมอบให้คนอื่นที่คุณคิดว่าควรได้รับ คุณสามารถหาซื้อได้ที่ร้านหนังสืออิสระ หรือร้าน คิโนะคุนิยะ หรือติดต่อสั่งซื้อโดยตรงผ่านเพจ สนพ. ได้เลย เพราะส่วนตัวเราเองก็สั่งผ่านเพจ สนพ. เช่นกัน💕📖

---------------------------------------------------------

หนังสือ : คืนวันอันแสนงาม ย่า อิลิโก อิลลาเรียน และผม
โนดาร์ ดุมบัดเซ (Nodar Dumbadze) : เขียน
ไกรวรรณ สีดาฟอง (ทราย ชยา) : แปล
สนพ. Selected Books Publishing (ซีเล็คเต็ดบุ๊คส์) 💕❤️

หลุม holes (เรื่องสั้น)

เธอมีหลุม

มันอยู่ในหลายๆสถานที่ทั้งบนร่างกาย และภายในจิตใจ ลึกลงไปถึงแก่นของจิตวิญญาณ เธอถูกติดตามด้วยความมืดที่บางครั้งกลายเป็นสีเทาหม่นหมอง มันคอยลอยอย่างเบาบางแต่หนักหน่วงเพื่อคอยปกคลุมเธอ เธอจึงเลือนลางในสายตา และบางครั้งผู้คนอาจมองไม่เห็นเธอ

ความมืดมันคอยหลอกหลอนและคอยเกาะ-เพื่อกัดกินเธอ และมันได้กัดกินเธอมานาน จนสุดท้ายเธอก็เลือกที่จะเลิกตัดสินมัน เธอเหนื่อยและไม่ได้ไล่มันไปอีกแล้ว แต่กลับเลือกที่จะอาศัยอยู่กับมันอย่างเป็นมิตรเรื่อยมา และอาจจะตลอดไป อย่างที่เธอเคยกล่าวไว้ในหลายๆบันทึกก่อนหน้านั้น


ในทุกๆวันมันจะค่อยๆกัดกินเธอ มากขึ้น มากขึ้น ทีละเล็กละน้อย แล้วไม่นานหลังจากที่หลายชิ้นส่วนของก้นบึ้งจากจิตวิญญาณเธอขาดหายไป เธอจึงเริ่มคิด คิดว่าเธอจะเป็นคนได้อย่างไรหากไม่มีจิตวิญญาณของมนุษย์หลงเหลืออยู่ในตัว เธอจึงคิดอีกครั้ง และอีกครั้ง

ในที่สุดเธอก็คิดได้ ว่าจะหาสิ่งใดมาเติมชิ้นส่วนที่ขาดหายไปอย่างไร "เพราะหลุม" มันมีเยอะเกินไป จนเธอกลัว เธอนั้นหวาดกลัวเหลือเกินว่าจะไม่มีพื้นที่มากพอให้เธอได้ยืน หากหลุมกำเนิดมากขึ้น มากขึ้น จนเต็มจิตใจของเธอ เต็มเนื้อหนังที่ห่อหุ้มชีวิตของเธอ จิตวิญญาณของเธอก็คงร่วงหล่นและดิ่งลงลึก...จนสุดจะหยั่งถึง และคงไม่อาจได้กลับมาจากหลุมอีก...ในวันต่อมา

เธอจึงตัดสินใจ "กัดกินความมืด" เช่นเดียวกับมันที่กัดกินเธอมาตลอด จนตอนนี้ต่างฝ่ายต่างกัดกินกันเอง ต่างฝ่ายต่างมีชิ้นส่วนของกันและกัน จนเกือบ... เกือบจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน เราต่างอยู่ร่วมกัน "หลุมดำ" ในเธอนั้น มันเป็นวงขนาดเท่ากำปั้นมือ อยู่ตรงตำแหน่งหน้าอกข้างซ้าย มันเกิดหลุมขึ้นที่นั่นก่อน และเป็นที่แรก

"หลุมแรก"

เธอจำมันไม่ได้หรอกว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน หรือเมื่อไหร่ เวลาอะไร ด้วยเวลาที่เนิ่นนานมาแล้ว หรือบางทีเธอแค่อาจอยากลืมมัน

ในหลุมมีความทรมานดั่งไฟแห่งความระทมทุกข์และเศร้าโศก มันหม่นหมอง แม้ปากหลุมจะเล็กเพียงเท่ากำปั้นมือของเธอ แต่ภายในหลุมกลับกว้างใหญ่และลึกจนยากที่จะหยั่งถึง มันแผดเผาเธอจนแทบมอดไหม้ จนเกือบขาดใจ หลายครั้งที่เธอคิด ว่าเธอนั้นได้ตายแล้วจากการตกหลุมแห่งความทุกข์ทรมานเหล่านั้น

ไม่มีใครถามเธอหรอก ว่าภายในหลุมของเธอมีอะไรอยู่ในนั้น หรือ ในแต่ละหลุมมีเรื่องราวใดอาศัยอยู่บ้าง หรือต่อให้มีสิ่งมีชีวิตตนหนึ่งสอบถามเธอ เธอก็อาจเพียงมองใบหน้าของสิ่งมีชีวิตตนนั้น และน้ำตาไหลออกมาเพื่อทดแทนคำตอบ แต่ถ้าสิ่งมีชีวิตตนนั้นอยากรับรู้จริงๆ หรือหากเธอยอมเอื้อนเอ่ย คำสั้นๆที่เธออาจตอบได้คือ "มันเศร้าและดิ่งลงลึกเหลือเกิน"

เธอไม่รู้หรอก ว่าในวันนี้ คืนนี้ เธอจะได้ตกไปอยู่ในหลุมไหน หรือหลุมไหนจะดึงเธอให้ร่วงหล่นลงไป ยิ่งลึกความสามารถในการหายใจของเธอจะลดลง ยิ่งฝืนเพื่อหายใจ-ยิ่งล้าสุดแสน มันทรมานดั่งร่วงหล่นสู่ดงกุหลาบสีดำที่มีหนามแหลมคอยทิ่มแทงให้บาดเจ็บ มีเลือดไหลรินในดวงใจ เฉกเช่นน้ำตาที่ไหลเป็นสายธารสีแดงหม่นหมองจนเกือบคล้ำ

แต่ละหลุมก็มีเรื่องราวของมัน ทั้งความทุกข์ ความเศร้า หม่นหมอง ความเสียใจ และความผิดหวัง มันมีเสียงกรีดร้องทั้งจากตนเองและคนอื่นๆที่เธอทั้งรักมาก และชังมาก หรือคนที่เธอเคยทำลาย หรือคนที่เคยทำลายเธอ เรื่องร้ายแรงต่างๆมีอยู่ในแต่ละหลุม มันมีทุกสิ่งที่ตามหลอกหลอนไม่ว่าจากความผิดที่เธอได้กระทำ หรือความถูกต้องที่ต้องพยายามทำแม้จะเป็นเรื่องที่เจ็บปวด และผิดก็ตาม รวมถึงเรื่องราวความสะเทือนใจคล้ายถูกก้อนแข็งๆของเศษหินแหลมปาใส่

--------------------------------------------------------------------

จะมีใครบ้างเล่าที่อยากจะอยู่ไกล้หลุมดำของเธอ ใครเล่าจะรักคนที่มีแต่ความเจ็บปวดและมีแต่บาดแผลเช่นเธอ เพราะว่ามันไม่มีใครหรอก ที่อยากจะร่วงหล่นพร้อมๆกับเธอในทุกๆวัน และในทุกๆวันทุกๆคืนที่เธอดิ่งลงหลุม เธอก็ยังต้องหาทาง-พยายามดิ้นรน-เพื่อหาทางขึ้นมาจากหลุมเหล่านั้นอีกครั้ง เพื่อให้ได้หายใจ และเพื่อให้อยู่รอดต่อไป-ในอีกวันต่อวัน มันเหนื่อยเหลือเกิน... แล้วใครล่ะ ที่จะร่วงหล่นพร้อมกับเธอ และคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อหาทางกลับขึ้นมาจากหลุมดำเหล่านั้น

โอวว... เธอเหนื่อยเหลือเกิน มองดูเธอสิ คุณเห็นเธอไหม คุณเห็นผู้หญิงตัวเล็กๆที่มีเพียงเนื้อหนังบางๆปกปิดกระดูกคนนั้นไหม เธอมีดวงตาสีดำ และผมยาวสีดำ

บางครั้งเธอหวัง

หวังว่าจะมีใครสักคนที่เลือก-และมองความเจ็บปวดของเธอเป็นสิ่งสวยงาม ใครสักคนที่เมตตาและรักเธอ คนที่มั่นคงพอจะยืนอยู่ปากหลุมที่หมิ่นเหม่ บนพื้นที่อันคับแคบ หากถอยหลัง หรือเดินหน้านิดเดียว ก็ต้องเป็นอันร่วงหล่น ใครสักคนนั้นจะมีไหมนะ เธอคิด คนที่จะไม่ร่วงหล่นไปกับเธอ แต่คอยดึงเธอเอาไว้ หรือดึงเธอขึ้นมาจากหลุมในวันที่เธอร่วงหล่นดิ่งลงสู่หลุมที่ลึกเหล่านั้น ใครสักคนที่คอยโอบกอดเธอด้วยความห่วงใย อบอุ่น แข็งแรง ปกป้องเธอด้วยอ้อมแขน เพื่อไม่ให้หลุมใดดึงเธอลงไป

ใครสักคน มิตรสหายสักคน เพื่อนรัก หรือคนที่อาจรักได้สักคน..... คนที่เธออาจรักได้ หรือใครสักคนที่อาจ "รัก" เธอได้ เพราะหากเขาผู้นั้นได้รักเธอ ได้มีเธอเป็นของเขา เขาจะต้องมั่นคงและนิ่งดั่งหินผา รวมถึงต้องอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน มือของเขาต้องจับสิ่งมีชีวิตเช่นเธอให้แนบแน่น และบอกเธอซ้ำๆว่า

เขาจะไม่จากไปไหน

ได้เวลา ทำลายหลุมแล้ว

ได้เวลา เย็บบาดแผลแล้ว

..........................................................................

มันคือความรัก รักและเคารพในความเจ็บปวดของเธอ และเขาเหล่านั้นอาจเห็นบาดแผลของเธอ งดงาม หวังว่าพวกเขาอาจคิด อาจจะบรรจงรักษาและเยียวยา เยียวยาเธอ และหวังว่าเธออาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่กำเนิดมา เพื่อให้สิ่งมีชีวิตเหล่านั้น รักเธอ
-
"แต่มันไม่ใช่"

เสียงเล็กๆที่เบาบางเอ่ยตอบ

"ไม่ใช่และไม่มีวัน ความกลัวในการมีอยู่ของใครอีกคนนั้นมีมากเกินไป มันแกร่งเกินไป ผู้คนไม่ชอบฉันมากเกินไป..."

"และ..."

"ฉันไม่ชอบผู้คนมากเกินไป ไม่... รับไม่ไหว.. ไม่ได้.."

"ไม่... ไม่... รักไม่ได้..."

"ทำไม่ได้...."

..........................................................................

หลุมดำเหล่านั้นกำลังร้องเรียก

อีกครั้ง

และอีกครั้ง

.

.
.................................................
©salinsiree
...
.
.
If you have any questions, or would like to talk, contact me!
salinsiree@gmail.com

(เรื่องสั้น) she and her darkness

ฉันถูกความเจ็บปวดกัดกิน ทั้งทางกายและจิตใจ

มันก่อตัวเป็นความมืดหมองหม่น คอยห่อหุ่มจิตวิญญาณของฉันมานานแสนนาน 
ฉันจำวันที่มันเริ่มต้นไม่ได้ รับรู้เพียงตอนนี้ฉันบาดเจ็บ มีบาดแผล และไม่เคยหายสนิท
บางความเจ็บปวดนั้นเรื้อรัง และฉันก็ดันทุรังอยู่กับมัน กัดกินมันเช่นที่มันกัดกินฉัน

เราไม่เคยแยกจากกัน หรือเราต่างหาทางจากกันไม่ได้
ฉันก็ไม่อาจรู้ และความมืดก็ไม่เคยบอกฉันเช่นกัน

(ไซย์ 23:53 Ts J - ปี 7s')
...
.

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
.
.
มันไม่เคยปล่อยให้เธอได้นอนหลับ

มันไม่เคยปล่อยให้เธอได้พักผ่อน

และ หากมันเพียงหยอกล้อเพื่อความสนุก ให้เธอได้หลับพัก

ความฝันที่เลวร้ายก็จะกัด..และคอยกลืนกินเธอ

ทุกคืนที่แสนทรมาน ความมืดจะพาเธอดิ่งลงด้วยกัน.. สู่ที่-ที่ลึก ยิ่งลึกความสามารถในการหายใจของเธอจะลดลง เธอบอกมัน แต่ความมืดมักเห็นแก่ตัว ห่วงแต่ความพอใจของตน หาได้สนใจเธอไม่ มันทำให้เธอเกือบขาดใจเพราะขาดอากาศ จากนั้นก็ปล่อยให้เธอเป็นอิสระเพื่อรอดพ้นจากมัน และตื่นมาพบกับความขมขื่นในการใช้ชีวิตต่อไป...

เป็นอย่างนี้เรื่อยมา หลายๆอย่างที่เป็นเพียงมนุษย์ของเธอ ก็เริ่มที่จะเสื่อมโทรม ทรุดลง และรับอะไรแทบไม่ไหว แม้เพียงยืนให้นิ่ง มั่นคง ก็ยังทำไม่ได้ ทุกอย่างมันล้วนสั่นไหวอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเธอ ราวกับไม่มีอะไรแน่นอนอีกต่อไป เธอจะมั่นใจได้อีกหรือไม่ และเชื่ออะไรได้อีกหรือเปล่า กับ ยังมีใครเชื่อ หรือศรัทธาในตัวเธออีกไหม...
.
.
ไม่รู้ว่ามันนานแค่ไหนหลังจากนั้น ที่ผ่านมา ไม่มีใครจดจำ
.
.
.
.
จำได้เพียง มันเป็นค่ำคืนหนึ่งที่เลือนลาง เมื่อความมืดค่อยคืบคลาน ไซย์จึงเตรียมตัวเข้านอน เธอไม่ได้พยายามหนีหรือขัดขืนมากนักในคืนนี้

เพราะครั้งนี้เธอรอคอย เพื่อปลดปล่อยตัวตนส่วนที่เหลือทั้งที่ยังดีซึ่งมีน้อยนิด ทั้งที่เสียหายซึ่งมีมากเกินไป เธอมอบมันทั้งหมดให้ความมืด แล้วปล่อยให้มันกลืนกินเธอจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมัน ทันใดนั้น..
 

ไซย์ลืมตาและจ้องมองมัน ความมืดไม่แน่ใจในสิ่งที่เธอทำ และแววตาของความเกลียดชังนั้นคืออะไร จนกระทั่ง…


เธอกลายเป็นผู้ที่พาความมืดดิ่งลงด้วยกันสู่ที่-ที่ลึก


ยิ่งลึก... ความสามารถในการหายใจของเธอจะลดลง เธอเคยบอกและมันจำได้ ก่อนจะเป็นฝ่ายขัดขืนเพื่อเหนี่ยวรั้งตัวเธอเอาไว้ แต่ก็สายเกินไป…


มันดิ่งลงลึกมากกว่าครั้งไหนๆสำหรับตลอดเวลาที่ผ่านมาของไซย์ เธอทรมาน และทรมานมากขึ้นเมื่อยิ่งดิ่งลงลึกไปอีก.. จนการหายใจเริ่มติดขัด มากขึ้น มากขึ้น..แล้วค่อยน้อยลง น้อยลง...


จนเมื่อมาถึงลมหายใจสุดท้าย... ซึ่งไซย์ได้มอบมันให้ความมืดเป็นของขวัญ ก่อนเธอจะผละจากมัน และมองดูมันกรีดร้องอยู่อย่างนั้น ตรงนั้น ขณะเฝ้ามองไซย์ร่วงหล่นต่อไป


และเมื่อลมหายใจสุดท้ายของเธอจากไป ไซย์ก็ได้หลับสนิทอีกครั้ง และครั้งนี้เธอไม่ได้ฝันร้ายอีกเลย 

“ฉันได้พักผ่อนแล้ว..." 
.
.
.

และมันเป็นการพักผ่อนเชิงลาจาก
เพราะมันจะยาวนานตลอดกาล จนหามีผู้ใดจดจำ
ว่าครั้งใดกัน ที่เธอคนหนึ่งต้องทนทุกข์จากความเจ็บปวด ที่ความมืดเป็นผู้สร้าง
มันคือเพื่อนสนิท เธอสร้างมัน มันสร้างเธอ
และเธอก็ลาจากมัน
แต่มันก็คือสิ่งหนึ่งในล้านสิ่ง ที่ทำให้เธอจากไปเช่นกัน
...............................................
©salinsiree
...
.
.
If you have any questions, or would like to talk, contact me!
salinsiree@gmail.com
.........

เล่าหนังสือ : one day in the life of ivan denisovich วันหนึ่งในชีวิตของ อีวาน เดนิโซวิช


อเล็กซานเดอร์ ซอลเจนิตชิน : เขียน
จักรแก้ว ตนุนาถ : แปล
สนพ. นาคร
248 หน้า
.........................................................................

เป็นหนังสือที่ทำให้เราเข้าใจว่า "อย่าไปหวังให้คนที่อบอุ่นแล้ว มาเข้าใจคนที่ยังหนาวอยู่เลย"

มันไม่ใช่นวนิยายที่มีพระเอก นางเอก หรือตัวร้าย แต่มันคือนวนิยายขนาดสั้น ที่มีแค่ชายคนหนึ่ง ผู้ที่พยายามใช้ชีวิตให้มันผ่านไปให้ได้ในหนึ่งวัน ให้มันรอดปลอดภัยจนถึงเวลาเข้านอน โดย ซอลเจนิตชิน ผู้เขียน ได้ใช้เนื้อหาจากชีวิตจริงในช่วงเวลาที่เขาเคยติดคุกมาถ่ายถอดผ่านงานเขียนของเขา

เล่มนี้จะบอกเล่าเรื่องราวในหนึ่งวันของนักโทษชายคนหนึ่งนามว่า ชูคอฟ (อิวาน เดนิโซวิช) ตั้งแต่เวลา ประมาณตีห้าที่สัญญาณปลุกจากเสียงแท่งเหล็กเคาะรางเหล็ก จนถึงเวลาเข้านอนหลังจากผ่านช่วงการนับตอนเย็น (นับจำนวนนักโทษ) ซึ่งปกติจะอยู่ในช่วงเวลาประมาณสามทุ่ม แต่มันมักจะไม่เคยเรียบร้อยภายในครั้งเดียว มันมักจะมีการนับใหม่เสมอ สองถึงสามครั้ง ทำให้ใช้เวลาถึงสี่ทุ่มทุกครั้ง

ในเรื่อง คุณจะเห็นการมองโลกที่ทำใจได้แล้วว่าต้องใช้ชีวิตอย่างไร "ในคุกแห่งนี้" ของชูคอฟ ตั้งแต่เริ่มต้นวัน-จนจบวัน ทั้งการพิจารณาทางเลือกในการตัดสินใจว่าจะทำสิ่งไหนดี ที่จะดีกับตัวเอง และไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน การหลบหลีกปัญหา และการหาความสุขเล็กๆจากสิ่งที่ "คนไม่ติดคุก" จะไม่มีวันเข้าใจว่ามันสุขตรงไหน ทั้งเขายังต้องทนกับการกินไม่อิ่ม และต้องต่อสู้กับความหิวและอาหารที่ได้ส่วนแบ่งอันน้อยนิด รวมถึงต้องอดทนกับสภาพอากาศในแต่ละช่วงของปี 

ชูคอฟเป็นคนที่สามารถมองโลกในแง่ดีได้ แต่ก็ยังคงสามารถร่ายยาวความระยำรอบตัวในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี เป็นขั้นเป็นตอน มีเหตุมีผล เพราะเขาได้รู้จักความเลวร้ายมาแล้วและเขายอมรับมัน ปรับตัวกับมัน เหมือนอย่างที่เขาคิดและพิจารณาเกี่ยวกับนักโทษผู้อ่อนหัดและยังไม่เจนจัดในการใช้ชีวิตที่นี่ในห้วงความคิดของเขาบางเวลา นั่นบอกว่าเขา "รู้อะไรๆที่มากกว่า"

ในเรื่องมีการเสียดสีด้วยการเล่าแบบก่นด่าเจ็บใจ มันขำ มันคือความขบขัน ที่ไม่ใช่เป็นคำตลก ดังนั้นบางคนอาจอ่านผ่านไปโดยไม่ขำเลย แต่ฉันขำ..บางครั้งหัวเราะในลำคอ หึหึหึ...

ชูคอฟรู้จักที่จะใช้ชีวิตในที่แห่งนี้ และมองหาเรื่องพื้นๆ เล็กๆน้อยๆ ที่ทำให้มันวิเศษและมีความสุขได้ เช่น การละเมียดไมอาหารทีละคำ การตั้งสมาธิกับการกินเพื่อรับรู้ถึงรสชาติของอาหารที่แม้จะเป็นเพียงอาหารใสๆที่ไร้เนื้อก็ตาม เขาจะกวาดชามจนเกลี้ยงด้วยช้อนคู่ใจที่เหน็บเอาไว้ตรงขอบบู๊ต เขาทำมันขึ้นมาเองโดยใช้ลวดอะลูมิเนียมหล่อขึ้นจากแม่พิมพ์ทราย ถ้าเป็นหนมปังเขาจะค่อยกัดทีละคำและพยายามเคี้ยวอย่างละเอียดด้วยฟันที่เหลืออยู่เพื่อหาสัมผัสของมัน จากนั้นค่อยๆกลืนมัน... ฉันชอบเรื่องอาหารการกิน ก็เลยสนใจของกินในเรื่องนี้เป็นพิเศษ ชอบที่ชูคอฟอธิบายถึงอาหารในโรงครัวในแต่ฤดูกาล สนใจส่วนแบ่งที่ได้รับ ชอบการบรรยายน้ำใสๆในสตู 

ฉันชอบที่ชูคอฟอธิบายความคดโกง การเห็นแก่ตัวและเอาแต่ได้ของผู้คนที่เขายกตัวอย่างมา "ตำหนิอยู่ในใจของเขาเงียบๆ"

และยังชอบมองดู-การสนใจใส่ใจสิ่งของเล็กๆน้อยๆของชูคอฟและนักโทษที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นเศษไม้ กิ่งไม้ เศษเหล็ก เศษผ้าที่อาจใช้ประโยชน์จิปาถะได้ การหวงของ-ซ่อนของที่คุณอาจจะกลับมาใช้งานมันได้ใหม่ เรื่องเล็กๆพวกนี้ถูกเขียนให้มันน่าสนใจเพราะมันสำคัญจริงๆ ว่าด้วยเนื้อเรื่องที่ไม่มีฉากอะไรมากมายนักในคุกแห่งนี้ ทุกสิ่งเล็กๆที่ผู้เขียนใส่ลงไปมันจึงดูใหญ่และเห็นรายละเอียดได้ชัด

มันทำให้ฉันเข้าใจว่า เมื่อคุณยอมรับแล้วว่าถูกกักขัง ชีวิตถูกควบคุม คุณจะปล่อยวางมันมากขึ้น เพราะต่อให้คุณไม่ปล่อยวาง คุณก็ไม่สามารถหนีหรือกลับบ้านได้อยู่ดี จงอยู่ใด้รอดในที่ที่คุณอยู่ อยู่ให้ดีๆ และรู้ที่จะจดจ่อกับสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน งานที่ได้รับมอบหมาย ทำๆ ทนๆ ถึงเวลากิน ถึงเวลานอน และอย่าสร้างปัญหา ในขณะเดียวกันก็อย่าหงอจนตะโกนใส่ใครไม่ได้ เพราะคุณต้องตะโกน ไอ้ห่าแม่มึง! ไอ้สัตว์ระยำ! ไอ้ชาติชั่ว! ไอ้งั่ง! ไอ้ควาย! ไอ้ควยอยู่ทุกๆวันเพื่อควบคุมความพอดีของสิ่งที่ตนควรจะได้รับ ส่วนแบ่ง ที่แบ่งแล้วแบ่งอีก การคดโกงที่คุณต้องดิ้นรนเพื่อไม่ให้ถูกโกงมากจนเกินไป 

เมื่อถึงตอนจบของเรื่องคุณจะเห็นว่าชูคอฟหาความสบายอก-สบายใจได้จากเรื่องในตลอดทั้งวันของเขา เช่น ไม่ได้ถูกส่งตัวเข้าคุก เขาได้โกงข้าวโอ๊ตมื้อกลางวันเพิ่มขึ้นอีกชาม หัวหน้าหน่วยงานได้ปรับเรตติ้งการทำงานให้สูงขึ้น และเขายังได้เพลิดเพลินกับการก่อผนังกำแพง แถมยังได้ลอบนำเศษเลื่อยตะไบชิ้นเล็กเข้ามาได้สำเร็จโดยไม่ถูกริบตอนตรวจ อีกทั้งยังอดทนต่อความเจ็บไข้ได้ป่วยจนชนะมันได้ แค่นี้สำหรับชูคอฟถือเป็นวันที่แจ่มใสเอามากๆ ในตลอด 3พัน - 4พันวันของเขา แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว

และในขณะที่คนถูกกักขังยอมรับแล้วจึงรู้สึกอิสระ มนุษย์บางคนที่เป็นอิสระในโลกภภายนอก บางครั้งกับรู้สึกเหมือนถูกกักขังอยู่ทุกๆวันนี่เอง มันหมายถึงอะไร แต่ละคนก็คงจะมีคำตอบในใจที่ไม่เหมือนกัน 


........................................................................
©salinsiree

เล่าหนังสือ : มีดของท็อดด์ THE KNIFE OF NEVER LETTING GO



มีดของท็อดด์ THE KNIFE OF NEVER LETTING GO
ผู้เขียน : PATRICK NESS
ผู้แปล : วรรธนา วงษ์ฉัตร
สนพ. Words Wonder
.
หนังสือเล่มนี้จะบอกเล่าเรื่องราวในโลกที่มีชื่อว่า นิวเวิลด์
เดินเรื่องโดย ท็อดด์ ฮิววิตต์ เด็กชายอายุ 12ปี กับอีก 12เดือน ที่อาศัยอยู่ในเมือง เพรนทิสทาวน์ และยังเป็นเด็กชายคนสุดท้ายที่กำลังจะเป็นผู้ใหญ่ในอีก 1เดือน ตามเวลาที่เมืองนี้กำหนด (13เดือน = 1ปี)
.
เพรนทิสทาวน์ มันเป็นสถานที่-ที่ทุกคนสามารถได้ยินความคิดของคนอื่น (รวมถึงสัตว์) เป็น ‘เสียงคิด’ ที่ท็อดด์เข้าใจเพราะถูกบอกเล่า-ปลูกฝัง ว่ามันคือ ‘เชื้อโรคเสียงคิด’ ที่สแป็คเกิลปล่อยออกมาในช่วงสงคราม เชื้อโรคเหล่านี้ได้ฆ่าผู้ชายไปเกือบครึ่ง และฆ่าผู้หญิงทุกคน รวมถึงแม่ของท็อดด์ และท็อดด์เข้าใจทุกอย่างแบบนี้ และเบนกับคิลเลียนผู้ที่รับท็อดด์มาเลี้ยงดูก็บอกกับเขาแบบนี้  ท็อดด์ไม่รู้หรอก ว่าอะไรคือเรื่องจริงบ้าง แต่เขาก็ 'อยู่' กับความเชื่อในเรื่องเหล่านี้
.
และเติบโตมากับเสียงคิดที่ดังอย่างมันไม่มีวันหยุด แม้ในยามที่ทุกคนหลับสนิท ที่นี่ไม่มีความลับ ไม่มีความเป็นส่วนตัว ทุกอารมณ์จะถูกส่งเป็นกระแสผ่านคำนึกคิด แล้วถูกปล่อยออกมาเป็นเสียงคิด มันไม่สนุกหรอก ที่ต้องได้ยินเสียงคิดเหล่านี้ มัน มะง่ายสักนิดที่ต้องเติบโตมาในสถานที่ ‘เน่าเฟะ’ แบบนี้ อย่างที่ท็อดด์เองก็ไม่สนุก รวมถึงไม่สุขใจด้วยเช่นกัน เขามักจะเหนื่อยหน่ายเสียงของผู้คนกับความคิดที่พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองคิดแม้ในขณะที่ทุกคนได้ยิน ท็อดด์มักจะคิดเสมอว่าพวกเขาทนกันและกันได้ยังงัย…
.
'มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เสียงดังหนวกหูมาก'
.
บางครัั้งท็อดด์ใช้เวลากับแมนชี่ (หมาพูดได้ของท็อดด์) ออกไปเดินที่บึงน้ำทางป่าตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง มันเป็นที่เดียวที่อยู่ไกลจากเมือง ดังนั้นมันจึงห่างไกลจากเสียงคิดที่วุ่นวายไม่รู้จบ สำหรับท็อดด์ บึงน้ำเปรียบเสมือนห้องขนาดใหญ่แสนสบายที่ไม่มีเสียงคิดดังเท่าไรนัก ‘มันมืดแต่มีชีวิต มีชีวิตแต่เป็นมิตร เป็นมิตรแต่ไม่ครอบครอง'
.
และที่บึงน้ำนี่เอง… ที่ทำให้ชีวิตของท็อดด์เปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อเขาได้พบกับความเงียบงันที่แสนประหลาด มันคือช่องโหว่ในเสียงคิด เป็นความเงียบงันแรกในชีวิตที่ท็อดด์ได้สัมผัส มันทำให้ท็อดด์เจ็บปวด และสับสนราวกับร่วงหล่นสู่ความเคว้งคว้างที่เขาไม่มีวันรู้จัก
.
เขาออกตามหา ‘ความเงียบ’
แต่มันว่างเปล่า
.
และความเงียบนี้คือจุดเริ่มต้น เมื่อมีเหตุให้ท็อดด์ต้องหนีออกไปจากเมือง ไปจากสถานที่เดียวที่เขารู้จักมาตลอดชีวิต เพียงเพราะเบนกับคิลเลียนบอกว่าเขาอยู่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว มันอันตราย และเขาจะไม่มีวันได้กลับมา… ท็อดด์ผู้มองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ (แม่ม! ไม่ยุดติทำ) และพยามจะบอกว่า เขาไม่รู้เรื่อง ห่า' อะไรเลย แต่… ก็ไม่มีใครบอกอะไรเขา 'ความรู้เป็นเรื่องอันตราย' เบนบอกอย่างนั้น
.
พร้อมกับยื่นสมุดบันทึกของแม่ท็อดด์ แผนที่ ที่ท็อดด์ไม่มีวันเข้าใจเพราะอ่านหนังสือไม่ออก และยังให้มีดล่าสัตว์เล่มใหญ่ที่ท็อดด์อยากได้เป็นของขวัญในวันเกิดที่จะถึงนี้... ‘เธออาจต้องใช้มัน’ เบนพูด
.
ท็อดด์กับแมนชี่มุ่งตรงไปไล่ล่าความเงียบงันกันอีกครั้ง และในครั้งนี้พวกเขาได้เจอ 'ไวโอล่า' เด็กหญิงเจ้าของความเงียบ ที่ยานอวกาศของเธอมาตกไกล้กันกับเมืองนี้ ท็อดด์กับแมนชี่ประหลาดใจมากที่ได้เห็นผู้หญิงเป็นครั้งแรก รวมถึงไวโอล่าเองก็ประหลาดใจระคนหวาดกลัวสุดขีดไปกับสถานที่แปลกประหลาด และเสียงคิดมากมายร้อยแปดที่พุ่งเข้าใส่เธอ เธอกลัว เธอไม่เข้าใจ เธอสับสน และเธอไม่พูด… ท็อดด์เองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม.. เธอ …ถึงไม่พูด
.
และพวกเขาจะไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก เมื่อทั้งท็อดด์ แมนชี่ และไวโอล่า มีเหตุให้ต้อง 'หนี' ไปด้วยกัน พวกเขาต้องหนีจากการไล่ล่าของนายกเทศมนตรีเพรนทิสกับกองทัพของเขา และหนีจากนักบวชแอรอนผู้บ้าคลั่ง เน่าเฟะ และโคตรจะ 'บัดซบทางจิตใจ'
.
และการหนีของทั้งสามนี้ คือ จุดสำคัญของเรื่อง
.
Patrick Ness ได้สร้างเด็กชายท็อดด์ขึ้นมาเดินเรื่องของผู้ใหญ่ ดังนั้นจากมุมมองในความเป็น 'เด็กชาย' ของท็อดด์อาจย้อนแย้งและขัดใจนักอ่านบางคน (หนึ่งในนั้นคือฉันเอง..) เนื่องจากคุณต้องอ่านความคิดของท็อดด์ไปตลอดทั้งเรื่อง (หงุดหงิดโว้ย...) มันก็ต้องมีบางเรื่องที่คุณหงิดหงิดกับความคิดของเด็กชายท็อดด์ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะถ้าคุณค่อยๆทำความเข้าใจ คุณจะรู้ว่าผู้เขียนได้สร้างตัวเอกที่เป็นเพียงเด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งเติบโตมากับสิ่งที่เขาคิดว่าควรเชื่อ โดยไม่เคยรับรู้มาก่อนว่ามีอะไรบ้างในสิ่งที่เขารู้นั้นคือความจริง และยังมีความจริงอะไรอีกบ้างที่เขายังไม่รู้ 
.
ซึ่งท็อดด์ก็ต้องเรียนรู้ด้วยตนเองจากการ -หนี
หนี คือจุดเติบโตของท็อดด์ เพราะโลกมันจะค่อยๆใหญ่ขึ้นสำหรับท็อดด์ที่ต้องออกไปเจอโลกกว้าง นิวเวิลด์ที่ท็อดด์เคยคิดว่ารู้จัก ก็อาจไม่ใช่อย่างที่รู้จักไปตลอดเส้นทาง ทั้งการพบเจอผู้คนใหม่ๆ ถิ่นฐานใหม่ๆ ข้อมูลใหม่ๆที่หลั่งไหลเข้ามาหาท็อดด์
.
และโดยที่ท็อดด์ยังมีดวามเป็นเด็กชาย ก็อาจต่อต้านความเชื่อใหม่ๆที่เป็นเรื่องจริงด้วยการถกเถียงด้วยความดื้อรั้นว่าตนเองนั้น 'รู้ดี' แม้ลึกๆเขาเองก็ยังไม่ค่อยมั่นใจว่าตนนั้นรู้เรื่องจริงอะไรบ้าง นอกจากคำลวงที่ถูกบอกเล่ามาให้จดจำ ซึ่งจุดนี้ที่ทำให้อ่านแล้วรู้สึก 'โคตรหงุดหงิด' ไปกับความ 'งี่เง่า' ของเด็กชายท็อดด์ แต่นั่นคงเป็นจุดที่นักเขียนต้องการบอกเล่า
.
เล่าว่า ตัวเอกต้องเริ่มจากการไม่รู้ ห่า-อะไรเลย จากนั้นผู้เขียนจะค่อยๆปล่อยตัวเอกออกไปเจอโลก และไม่ใช่ออกไปเจอโลกเชิง 'ทัดสะนะสึกสา' แต่เป็นการออกไปเจอโลกด้วยการ วิ่งหนี-หนีตาย-หนีเอาตัวรอด แถมด้วยการเพิ่มตัวละครที่อยู่ตรงข้ามกับสิ่งที่เด็กชายเป็น คือ เด็กผู้หญิง และเมื่อเด็กผู้หญิงที่มีความเงียบงัน กับเด็กผู้ชายที่มีความคิดเสียงดังตลอดเวลามาพบกัน ร่วมทางไปด้วยกัน สู้ไปด้วยกัน การพัฒนาตัวละครก็จะมีให้เห็นในแต่ละหน้า แม้ว่าเด็กผู้หญิง 'ไวโอล่า' จะทำให้เรารู้ไม่พอใจในช่วงแรกๆ คือ การที่เธอไม่ยอมพูด เอะอะ-รู้สึกไม่ดีอะไร ก็จะไปนั่ง 'โยกตัว' เหมือนเด็กปัญญาอ่อน.. ซึ่งมันเป็นความรู้สึกส่วนตัวที่เกิดขึ้น แต่พออ่านแต่ละหน้าผ่านไป ไวโอล่าพัฒนาขึ้นและ ''ดี๊ดี'' กว่าท็อดด์เยอะแยะในภายหลัง เราจึงให้อภัยได้ ส่วนท็อดด์ก็เริ่มงี่เง่าน้อยลงบ้างหลังจากยอมรับ 'เรื่องที่เป็นความจริง' ในภายหลัง (คือ มันเหนื่อยแล้วงัย.. ไกล้จบแล้วเอาแต่ใจไม่ไหว.. หิวด้วยแหละ หมดแรง...)
.
เรื่องนี้ตัวเอกเป็นเด็กชาย-เด็กหญิง จึงอาจไม่สามารถเล่นบทผู้ใหญ่ได้แบบสุดโต่งเลยดูไม่เข้มข้นสำหรับนักอ่านบางคน กับ บางคนอาจยกตัวเอย่าง-ตัวเอกที่เป็นเด็กในวัยเดียวกันกับท็อดด์จากเรื่องอื่นๆของผลงานนักเขียนท่านอื่นๆว่า ทำไมทีเรื่องนั้นตัวเอกเล่นสายดาร์คได้ดี ฉลาด และเก่งกว่าทั้งที่เป็นเด็กเหมือนกัน ก็ลองคิดว่านี่คือผลงานของ Patrick Ness ไม่ใช่ผลงานของคนนั้น-คนนี้ แต่ละนักเขียนจะมีตัวตนในการสร้างตัวละครที่ไม่เหมือนกัน เช่นจริงๆแล้วน้าแพททริคก็สามารถเขียนท็อดด์ให้เก่งได้ในแต่ละฉากที่ท็อดด์สามารถใช้ 'มีด' ในการฆ่าคนได้-ในหลายๆครั้งที่มีโอกาส แต่กลับไม่ทำ
. เพราะ 'มีด' คือแกนกลางของเรื่องที่นักเขียนสร้างขึ้นให้เป็นทางเลือกของเด็กชายท็อดด์ ว่าจะทำอย่างไรกับมัน จะเลือกใช้มันในทางไหน มีดไม่ใช่สิ่งของ แต่มันคือทางเลือก มันบอกว่าใช่หรือไม่ใช่ เชือดหรือไม่เชือด ตายหรือไม่ตาย มีดหรือท็อดด์จะเป็นคนตัดสินใจคุณจะได้รู้ (ถ้าได้อ่าน)
.
ท็อดด์มันต้องแย่ มันจะได้เจ็บเยอะๆ เรียนรู้เยอะๆ จากความย่ำแย่ที่ศัตรูผู้คอยไล่ล่าทุกคนพยายามยัดเยียดให้ ทั้งความบ้าคลั่งจากนักบวชแอรอนที่อาศัยอยู่ในความเชื่อผิดๆ -บูชายัญ -การยอมทนทุกข์ทรมานของนักบุญ -ถ้าพวกเราคนใดคนหนึ่งกระทำบาป พวกเราทุกคนล้วนบาปด้วย ถือว่าเป็นตัวร้ายที่ป่วยทางจิตคนหนึ่งในเรื่องก็ว่าได้ ก็ในโลกที่มีแต่เสียงคิดนี้ คงไม่แปลกถ้ามันสามารถทำให้ใครบางคนป่วยได้ บางคนอาจต้องหาความเชื่อใหม่ๆเพื่อยึดเหนี่ยว บางคนอาจหาอำนาจจากมันอย่างเช่น นายกเทศมนตรีเพรนทิส ผู้ที่ต้องการตัวท็อดด์ด้วยเหตุผล (บางอย่าง..เฮ้ออ) เป็นบางอย่างที่ทำให้ทั้งสามต้องหนีโดยที่ยังไม่รู้อะไรมากนักในตอนแรก หนี หนี วิ่งๆ หนีๆ 
.
ส่วนในเรื่องการหนีของทั้งสาม (สองคน หนึ่งหมา) อาจดูโล่งๆแม้จะมีฉากที่ดูรุนแรงเป็นระยะ แต่มันยังเหมือนสามารถใส่อะไรลงไปได้อีก มันดูยังไม่มีอะไรมากมายระหว่างทางที่ทั้งสามต้องหนี แอบเบื่อและวางหนังสือลงอยู่หลายครั้งเหมือนกันนะ จนพยายามเข้าใจว่าเรื่องนี้พยายามสื่อ การเติบโตทางความรู้สึก ความคิดของตัวละครในเรื่องมากกว่า ทั้งความพยายามในการดิ้นรนที่จะไปต่อแม้ความหวังที่จะไปถึงนั้นไม่ค่อยมี ความเจ็บป่วยที่ต้องเอาชนะ ความหิวที่ต้องทนและอดกลั้น พอมองแบบนี้แล้วก็เออ... มันให้ความคิดที่แตกต่างออกไปนะ ในเรื่องตัวละครจะต้องมีการเรียนรู้ที่เริ่มจาก ศูนย์ คือไม่ว่าคุณจะรู้อะไรมา คุณจะต้องเตรียมพร้อมที่จะไม่รู้อะไรเลย แล้วไปเรียนรู้เอาใหม่ระหว่างทาง 
.
ทั้งการไว้วางใจ ที่ทั้งสามต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ความเชื่อใจที่ต้องสร้างขึ้นจากความลำบากที่มีร่วมกัน เช่นท็อดด์ ที่มองไวโอล่าอย่างไม่มีวันรู้จักเธอในตอนแรก ด้วยความเงียบงันที่แสนเจ็บปวดของไว มันทำให้ท็อดด์ไม่มั่นใจ 'ถ้าคนคนหนึ่งไม่มีเสียงคิด พวกเขาจะเป็นคนได้อย่างไร ถ้าพวกเขาไม่มีเสียงคิด' การมองไว ว่าเป็นคนไร้ค่า ว่างเปล่า ไม่มีอะไร ปราศจากความรู้สึกนึกคิด จนความทุกข์ยากที่มีร่วมกันทำให้ท็อดด์รู้จักไว ไม่ว่ามันจะเงียบงันแค่ไหนพวกเขาก็จะยังคงรู้จักกันในที่สุุด  ส่วนไว ก็พยายามคิดและเรียบเรียงเสียงคิดร้อยแปดจากท็อดด์เพื่อมองหาความเป็นตัวท็อดด์จริงๆ เสียงจริงๆจากข้างในตัวท็อดด์ที่เธอจะรู้จักและจำได้ในที่สุดไม่ว่าเธอจะได้ยินมันที่ไหนท่ามกลางเสียงคิดที่ดังร้อยแปด และ
.
ไม่แม้แต่คนที่ต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจกัน เพราะแม้แต่ หมา ก็ยังต้องการให้คนได้เรียนรู้แล้วเข้าใจในความเป็นหมาที่พูดได้และมีเสียงคิด และการปล่อยให้ตัวละครค่อยๆเปิดเผยความรักและเคารพหมาของตนจากความภักดีที่ซื่อสัตย์ที่หมาน้อยแมนชี่มีให้กับท็อดด์ตลอดทั้งเรื่อง คอยอยู่เคียงข้าง คอยย้ำเตือนว่าท็อดด์นั้นเป็นใคร และคอยเรียกให้ท็อดด์กลับมาเสมอยามที่ท็อดด์นั้นหลงทาง ถ้าคุณรักหมา คุณจะรักแมนชี่ในเรื่องนี้มากๆเลยล่ะ
.
ทิ้งท้าย : อ่านเรื่องนี้สองรอบ รอบแรกช่วงเดือนเมษายนที่ได้หนังสือมา รอบใหม่ในเดือนกรกฏาคมเพื่อทำความเข้าใจโดยไม่อคติในความไม่ชอบ กับทบทวนความจำ เพราะเมื่อลองนึกแล้วสิ่งที่จำได้ชัดเจนมีเพียงแค่ ''อยากอึ๊แล้ว ท็อดด์'' - ''อึ๊อึ๊ ท็อดด์'' กับ ''อึ๊ดี๊ดี ท็อดด์'' พยายามจินตนาการเสียงของแมนชี่เอานะ
.
ส่วนในเล่ม 2 ความเป็นเด็กก็คงจะน้อยลงไปแล้ว เพราะได้โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว เนื้อเรื่องก็คงจะมีอะไรมากขึ้น เข้มข้นขึ้น เพราะ มีดของท็อดด์ เป็นเพียงเล่มแรกในชุดไตรภาคนี้ มีหลายครั้งที่เล่มแรกทำให้เราไม่อยากอ่านเล่มต่อไปเพราะไม่สนุกไม่ถูกใจ แต่พอตัดสินใจอ่านต่อในเล่มสอง ก็ต้องร้องว้าวอยู่หลายเรื่องจาก 'ปะสบกานส่วนตัว' อย่างไรก็คงต้องติดตามอ่านต่อในเล่มสองแน่นอน ขอให้เล่มสองเป็นเล่มที่ดีนะ

**คำที่สะกดผิด คือความตั้งใจ เพราะในหนังสือมีการสะกดผิด หรือมีคำที่ไม่ถูกตามหลักไวยากรณ์ตามที่ผู้เขียนตั้งใจ 'สื่อออกมา' เราเลยเลือกบางคำจากในหนังสือ กับ คิดขึ้นใหม่บางคำมาใช้ในรีวิวนี้ ใครที่อ่านเรื่องนี้แล้วจะเข้าใจ ใครที่ยังไม่ได้อ่านเดี๋ยวจะงงว่ามัน "คือไรวะ" ฮ่าๆๆ

.........................................................................................................................
©salinsiree
...
If you have any questions, or would like to talk, contact me!
salinsiree.witchy@yahoo.com

(เรื่องสั้น) ฝันร้าย



 


ฝันร้าย
คือส่วนหนึ่งของชีวิตไซย์ มันไม่เคยแยกจาก หรือออกห่างจนรู้สึกว่ามันกำลังหาย มีแต่เข้าไกล้และสัมผัสได้จนอดคิดไม่ได้ว่า มันจะไม่มีวันหาย...

เพราะในทุกๆค่ำคืนของเหล่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ต่างพากันหลับไหล

ไซย์ เธอเป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน หากแต่เธอไม่ได้หลับไหล หากแต่เธอกำลังวิ่งหนี ความฝัน… และมันคือฝันร้าย มันสอน-ให้ไซย์ได้รู้สึกหยั่งลึกจนเข้าใจ ว่าต่อให้หนีความทรงจำที่โหดร้าย หลงลืมความเจ็บปวดที่เคยมีได้แค่ไหน อย่างไรเสีย มันก็จะมาคอยเตือน ย้ำให้เธอได้รับรู้และไม่มีวันลืมแม้แต่ในรายละเอียดละเล็กละน้อยของบาดแผล ทั้งหมดจะเป็นสิ่งที่ชัดเจนในความฝันของเธอ

ซึ่งมันจะคอยตาม คอยหลอกหลอน คอยกัดกินและบิดเบี้ยวจิตวิญญาณของไซย์ ราวกับจะแบ่งหัวใจของเธอออกเป็นชิ้นๆ ละเล็กละน้อย แล้วปล่อยให้ส่วนที่เหลือออกคลานหาไขว่คว้าส่วนที่หาย 

จนบางครั้ง ไซย์แยกไม่ออกในความลวงของความฝัน ว่านี่มันจริงหรือไม่ จริง…

เพราะความรู้สึกที่เกิดขึ้น ยามที่ความฝันเข้าคลอบงำนั้น มันช่างเหมือนจริงเหลือเกิน... เจ็บปวด เดียวดาย ทรมานและไร้หลักแหล่ง

จนแม้ตระหนัก-คิดได้ว่า “ฉันตื่นแล้ว” แต่ทั้งหมดของความรู้สึกหม่นๆเหล่านั้นกลับยังอยู่ วนเวียนอยู่กับลมหายใจ ราวกับได้กลิ่นไอจากฝันร้ายที่พึ่งผ่านไป ทั้งสดใหม่ ทั้งตื่นตระหนก ราวกับมันพึ่งเกิด หรือเกิดขึ้นไปแล้วจริงๆ 

และมันเป็นเรื่องที่เธอต้องทนทุกข์ทรมานในทุกๆค่ำคืน ยามที่เสียงต่างๆค่อยเงียบ และเจือจางลง ยามที่ความมืดค่อยคืบคลาน รอให้ไซย์กลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน

จน
เมื่อถึงเวลา… ความมืดได้พาไซย์ดิ่งลงด้วยกันสู่ที่-ที่ลึก เธอบอกความมืดเสมอ ว่าหากยิ่งดิ่งลงลึก ความสามารถในการหายใจของเธอจะลดลง แต่ความมืดมักเห็นแก่ตัวห่วงแต่ความพอใจของตน และหาได้ใส่ใจห่วงใยเธอแม้แต่น้อย มันรอคอย และเมื่อเห็นไซย์ผู้เป็นเหยื่ออ่อนแอลง มันจึงจู่โจม…
จากนั้นความฝันอันเลวร้ายก็ได้เข้าคลอบงำเธออีกครั้ง... อีกครั้ง และอีกครั้ง
ในทุกๆวันไซย์จะร้องไห้บ่อยเกินไป และเธอยังคงคิดมากเกินไป
เธอยังคงกิน แต่ไม่นอนในเวลาที่ควรนอน จนเมื่อเวลาผ่าน เป็นเดือน เป็นปี หรือหลายปีต่อจากนั้นเธอก็ทรุดลง ทั้งทางกายก็ซูบผอม มีเพียงเนื้อหนังบางๆปกปิดกระดูก จิตใจถูกบิดเบี้ยว จิตวิญญานมีบาดแผลและไม่เคยได้รับการเยียวยาหรือแก้ไข เป็นอย่างนั้นเรื่อยมา
         
จนวันหนึ่ง…
“ฉันสนิทกับมันมากขึ้น” ไซย์คิด
“มันคิดว่าฉันเป็นเพื่อนสนิทของมัน..ความมืดน่ะ” ไซน์ไตร่ตรอง 
และพยายามควานหาความกล้าหาญที่ซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึก เพื่อให้มันช่วยในเรื่องที่เธอต้องตัดสินใจ… 

และในคืนนั้น เมื่อความมืดค่อยคืบคลาน ไซย์จึงเตรียมตัวเข้านอน เธอไม่ได้พยายามหนีหรือขัดขืนมากนัก ครั้งนี้เธอรอคอย ปลดปล่อยตัวตนส่วนที่เหลือทั้งที่ยังดีซึ่งมีน้อยนิด ทั้งที่เสียหายซึ่งมากเกินไป เธอมอบมันทั้งหมดให้ความมืด แล้วปล่อยให้มันกลืนกินเธอจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมัน ทันใดนั้น..
 
ไซย์ลืมตาและจ้องมองมัน ความมืดไม่แน่ใจในสิ่งที่เธอทำ และแววตาของความเกลียดชังนั้นคืออะไร จนกระทั่ง…

เธอกลายเป็นผู้ที่พาความมืดดิ่งลงด้วยกันสู่ที่-ที่ลึก

ยิ่งลึก... ความสามารถในการหายใจของเธอจะลดลง เธอเคยบอกและมันจำได้ ก่อนเป็นฝ่ายขัดขืนเพื่อเหนี่ยวรั้งตัวเธอเอาไว้ แต่ก็สายเกินไป…

มันดิ่งลงลึกมากกว่าครั้งไหนๆสำหรับตลอดเวลาที่ผ่านมาของไซย์ เธอทรมาน และทรมานมากขึ้นเมื่อยิ่งดิ่งลงลึกไปอีก.. จนการหายใจเริ่มติดขัด มากขึ้นๆ..แล้วค่อยน้อยลงๆ...

จนเมื่อมาถึงลมหายใจสุดท้ายซึ่งไซย์ได้มอบมันให้ความมืดเป็นของขวัญ ก่อนเธอจะผละจากมัน และมองดูมันกรีดร้องอยู่อย่างนั้น ตรงนั้น ขณะเฝ้ามองไซย์ร่วงหล่นต่อไป

และเมื่อลมหายใจสุดท้ายของเธอจากไป ไซย์ก็ได้หลับสนิทอีกครั้ง และครั้งนี้เธอไม่ได้ฝันร้ายอีกเลย 
“ฉันได้พักผ่อนแล้ว..."  
.
.
.
.
.
.
.
พยายาม อย่าดูถูกคนที่ฝันร้าย พวกเขาไม่ต้องการหรอก ความฝันที่มีในทุกๆคืนหรือเมื่อใดก็ตามที่หลับไหล หากมันจะแย่แล้วทำให้ใจทุกข์จนหม่นหมอง แต่มันเลือกไม่ได้ที่จะไม่ฝัน ดังนั้นขอให้คนที่ไม่ฝันร้ายจนผิดปกติ คนที่หลับได้และไม่ทุกข์ใจในการนอนหลับ หรือการหลับของคุณไม่ได้ทำให้สุขภาพของคุณย่ำแย่ ก็อย่าได้มองผู้ที่ฝันร้ายอยู่เสมอว่าอ่อนแอและเป็นพวกเพ้อไร้สาระเลย พวกเขาอยากพักผ่อนมาก พวกเขาอยากพัก และหลับให้สนิท คุณรู้ไหม พวกเขาเหนื่อย
หลายสิ่งมีชีวิต ที่หาทางออกเพื่อให้ตนได้พักผ่อน จนสุดท้ายพวกเขาก็เจอทางออกเดียว ที่จะได้พักผ่อน เพียงแต่การพักผ่อนนั้น มันจะยาวนานเหลือเกิน 

เพราะพวกเขาจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก

บางคนอาจเป็นที่จดจำ เพราะมีคนที่รักรอบตัว จะมีคนร้องไห้เมื่อพวกเขาจากไป

บางคนอาจถูกหลงลืม และไม่มีใครเอ่ยถึง เพราะไม่มีใครรักหรือเสียใจที่พวกเขาจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก


.
.
...........................................................................................................
🍃🌸🍃🌸🍃🌸🍃
©salinsiree
If you have any questions, or would like to talk, contact me!
salinsiree.witchy@yahoo.com

(เรื่องสั้น) บทสนทนาระหว่าง ไซย์ กับ คาห์ฮา (หนึ่งในอาจารย์ผู้ทรมาน-ฝึกฝนไซย์)


คาห์ฮา 

ข้ารู้ ว่ามีปีศาจขับเคลื่อนอยู่ภายในตัวเจ้า มันลืมตาเพียงหนึ่งข้างแล้วอาจปิดเปลือกตานั่นลงเป็นบางครั้ง แต่ไม่เคยหลับไหลตลอดกาล เจ้าต้องมีวินัยต่อตนเอง แล้วบงการมัน อย่าปล่อยมันให้บงการเจ้า

นี่คือเหตุผล ที่เจ้าถูกกระทำให้อ่อนแอตั้งแต่ยังไม่เติบโตเต็มที่ ทำลาย แล้วปล่อยให้เจ้าแหลกสลาย เย็บบาดแผล ต่อติดเจ้าใหม่ แล้วทำลายอีกครั้ง ซ้ำๆจนเจ้าเจ็บป่วย จิตวิญญาณมีบาดแผล เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่มีพลังในการขับเคลื่อนวิถีชีวิตบนเส้นทางที่แท้จริงของเจ้า

แล้วเจ้าก็เป็นอย่างนั้น...

แต่

มีใครบ้างเล่า ที่ได้รู้ความจริง ของผลที่ตามมา ผลจากเศษเสี้ยวส่วนที่เหลือของการทำลายล้างตัวเจ้าให้เจ็บป่วย มันนานแสนนานจากนั้น จนถูกหลงลืม

ไม่มีใครเอ่ยถึง

ไม่มีใครรู้

จนเมื่อเจ้าได้สยายปีก โผบินด้วยปีกหนังดั่งเหล็กกล้า
มาทำลายล้าง ชำระเลือด เหล่าผู้ที่ทำลายเจ้า จนไม่เหลือแม้จุดกำเนิดของสิ่งเหล่านั้น เจ้าเผามันให้มอดไหม้ด้วยไฟเพลิงสีน้ำเงินแดง ดั่งน้ำทะเลที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีแห่งเลือด

ไม่มีใครเหลือรอด เพื่อมารู้สึกผิด ในการปล่อยให้เจ้าได้หายใจอยู่ เพียงเพราะทำลายเจ้าให้เจ็บป่วยแล้ว ไม่ได้แปลว่าเจ้าไม่สามารถ... บางสิ่งบางอย่าง ยังคงเป็นอยู่ของมันอย่างนั้น เป็นในสิ่งที่มันเกิดมาเป็น ต่อให้ถููกเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ไม่เหมือนเดิมแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มันเกิดมาเพื่อเป็น

แล้วเจ้า ก็เป็นสิ่งนั้น

--

ไซย์

แต่หลายปีมานี้ ข้าควบคุมปีศาจในตัวข้าไม่ได้ดั่งที่สมควรต้องทำ บางครั้งมันลืมตาทั้งสองข้างเพียงเพื่อเตือนให้ข้าตระหนักรับรู้ รู้ว่าตัวตนข้า-ในด้านที่ลึกและมืดมิดที่สุดนั้นปราถนาอะไร ข้ายึดเหนี่ยวสิ่งดีๆด้วยรักของมารดาและสหาย รวมถึงความรักจากคนที่ข้ารัก

แต่ตอนนี้ หลายสิ่งที่ข้าใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจ สิ่งดีๆที่ทำให้ข้าเป็นคนดีกับค่อยๆลาจากข้าไป หายไป จนแทบไม่เหลือสิ่งใด ข้าพยายามไขว่คว้าสิ่งยึดเหนี่ยวเท่าที่ข้าสามารถจะไขว่คว้า เพื่อทรงตัว เพื่อไม่ให้ล้ม และพังทลายลงไป

ข้าไม่คิดว่าสิ่งที่ทำลายข้าเมื่อนานมาแล้วจะผิดหวัง แม้ว่าข้าจะยังอยู่ เพราะอย่างไรข้าก็ได้ตายทั้งเป็นอย่างนี้ แม้ข้าจะมอบเพลิงไฟเพื่อเผาทำลายพวกมันไปแล้ว แต่ข้าก็ไม่ได้คิดว่าพวกมันจะผิดหวังหากได้รับรู้เรื่องราวของในข้าตอนนี้ แน่นอนว่าข้ายังไม่ได้ทำลายโลกนี้อย่างที่มันกลัว แล้วข้าก็ไม่รู้ว่าจะทำเพื่ออะไร แต่ข้าก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับมันที่ยังคงมีชีวิตอยู่ แม้ข้าไม่สามารถทำอะไรอย่างที่พวกมันกลัวได้อีกแล้ว

อาจารย์.. ตอนนี้ข้าได้ทำหลายสิ่งที่ไม่ดี และเริ่มจะกระทำ... เพิ่ม
ข้าไม่ได้รู้สึกผิดในสิ่งที่ทำ มันจึงทำให้ข้ากลัว.. กลัวว่าทำไมข้าถึงไม่รู้สึกสิ่งใดถึงความผิด แต่กลับคิดว่าถูกและมันสมควร คนบางคนก็สมควรตาย ข้าเริ่มรักคำๆนี้ ทั้งๆที่ไม่เคยใส่ใจความหมายของมันหรือจดจำมัน แต่มันมามีความหมายในตอนนี้

ข้าคิดว่าจิตใจของข้าเจ็บป่วยเกินไป ข้าไม่รู้ว่ามันจะยังรักษาหรือเยียวยาทันหรือไม่ บางคนบอกว่า ทำได้ แต่จะได้ทำเมื่อไหร่ล่ะ... นั่นคือสิ่งที่ข้ากังวลมากกว่า ข้าไม่มีโอกาสได้เยียวยาตนเอง และเรื่องร้ายๆก็ยังคงมีมาเพิ่มไม่หยุดหย่อน สูญเสียไม่จบไม่สิ้น จนข้าคิดว่ามันไม่สมดุลกันแล้ว ระหว่างสีดำและสีขาวในตัวข้า มันผสมกันจนเป็นสีเทาหม่นหมอง ข้าภาวนาขอให้มันไม่เป็นสีดำในเร็วๆนี้

ข้ากลัว กลัวว่าจะ ทำ ทำสิ่งที่ไม่ดีในโลกธรรมดาของข้า ข้าจึงพยายามไม่สานมิตรหรือรู้จักใครมากพอจะทำให้ใครสักคนมาทำร้ายจิตใจข้า หรือบาดหมางกัน จนทำให้ข้าหมกมุ่นแล้วมีความคิดดำมืดอยากให้คนที่ทำให้ข้าเจ็บปวด สิ่งที่ทำให้ข้าเจ็บปวดนั้นหาย หายไปจากชีวิตข้า ไม่มีตัวตัวและถูกเผาทำลายจนเหลือเพียงเศษเถ้ากระดูก

อาจารย์.. มันยังถูกกักขังดีหรือไม่ ปีศาจน่ะ ท่านเป็นคนกักขังมัน ผลักข้าให้ต่อสู่กับมัน...

--

คาห์ฮา

มันยังคงอยู่ แต่...
จริงๆแล้ว มันไม่ใช่การกักขัง ไซย์เจ้าต้องฟังข้า...

ปีศาจนั่น มันคือตัวตนของเจ้า แล้วเจ้าก็รู้ดี การฝึกฝนควบคุมมัน เพียงเพื่อแยกด้านมืดของเจ้าให้อยู่ในที่ที่สงบ มันไม่ได้เลวร้ายหากเจ้าควบคุมมันได้ บังคับมันได้ จงอย่ากระทำเหมือนมันเป็นสิ่งที่ห่างไกล อย่าผลักไสมัน ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว อย่าได้กลัวมัน มันคือสิ่งที่เจ้าเกิดมาเป็น

หากเจ้าไม่รู้สึกผิดในสิ่งที่ทำ หากคนที่เจ้าฆ่า มันเป็นสิ่งเลวทรามแล้วทำร้ายเจ้า มันก็สมควรตาย คนบางคนก็สมควรตาย มันมีความหมายเสมอ หากมาจากความคิดของคนดีๆ อย่างเจ้า หากเพียงเพราะคนอื่นรู้สึกไม่ดีในสิ่งที่เจ้าทำ นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าคนคนนั้นยังคงอยู่กับเจ้าไหม เพราะนั่น...

นั่นหมายถึงเขารักเจ้า รักมาก และเพราะเขารับรู้ว่า ลึกๆแล้วมันถูกต้อง เพียงแต่เจ้าคือบุคคลที่เจ็บป่วยและมันอาจส่งผลให้เจ้าเปลี่ยน และถลำลึกในด้านที่ดำมืด จนเปลี่ยนเจ้าเป็นอีกคนที่เขากลัว เขาเป็นผู้รักษาเขาย่อมต้องรู้สึกหมองใจ แต่ข้าเชื่อว่าลึกๆแล้วตัวเขาจะเชื่อมั่นในตัวเจ้าว่าเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง แม้เจ้าจะยืนอยู่บนร่างไร้วิญญาณของใครก็ตาม บางครั้งคนบางคนหรือพวกที่ไม่ใช่คนก็ไม่สมควรมีจิตวิญญาณ เพราะไม่คู่ควร แต่ข้าจะไม่ตัดสินใคร มันขึ้นอยู่กับสิ่งดีงาม และ สิ่งเลวทรามที่พวกเขาทำ หากทำโดยเราไม่เกี่ยวข้อง ไยต้องใส่ใจ แต่หากทำโดยเราเกี่ยวข้องหรือมาทำร้ายตัวเรา นั่นเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการใส่ใจ

เช่นสิ่งที่เจ้าทำ มันอาจดิบเถื่อนเกินไปสำหรับเจ้า นั่นเพราะไม่มีคนขัดเกลาในเรื่องนี้ให้เจ้ามานานเกินไป เจ้าหลงลืมหลายสิ่ง ความเจ็บป่วยกัดกินเจ้ามานานเกินไป และในโลกใบนี้ที่ไม่ธรรมดา เรื่องที่เจ้าทำนั้นมันช่างสามัญเหลือเกิน เพียงแต่เจ้าเกิดแล้วเติบโตมาในโลกธรรมดาที่เรื่องนี้อาจผิด แต่เจ้ากำลังต่อสู่อยู่กับบุคคลที่ไม่ธรรมดา เลวทราม การที่เจ้าทำลายมัน เจ้ายังได้ช่วยใครอื่นอีกมากที่ต้องทนทรมานเพราะมัน จงเก็บเรื่องนี้ไปคิด

ยังมีคนอื่นๆอีกที่รู้จักชื่อของเจ้า แล้วจะเอ่ยขอบคุณแม้ในมุมที่มืดที่สุดของโลกใบนี้ เจ้าอาจไม่ได้ยิน แต่มันคงมี และจะมี ขอให้เจ้าคิดให้ได้

รู้ไหม ในวันแรกที่พวกนั้นส่งเจ้ามาที่นี่ เพื่อทรมานและฝึกฝนเจ้า ข้ามองดูเจ้า...
ข้าคิดทันที ในตอนนั้น ว่าเพียงวันเดียวเจ้าคงตาย และไร้ค่า แต่...

เจ้ากับนอนลืมตา
ร่างกายบิดเบี้ยวด้วยความทรมานอยู่ในกรงโสมมของนรกที่ข้าสร้าง เพื่อกักขังเจ้า
เจ้าไม่เคยกรีดร้อง ไม่ใช่เพราะไม่อยากร้อง เจ้าแค่ไม่แยแส เหมือนที่ข้าไม่แยแสเจ้า

ดังนั้นจงระลึกถึงสิ่งที่เคยผ่านมา แล้วหล่อหลอมให้มันเตือนใจเจ้าถึงสิ่งที่เจ้าควรเป็น และควบคุมมัน

ข้ารู้ โลกธรรมดาสามัญใบนั้นมันไม่ใช่โลกที่เจ้าสมควรอยู่ มันไม่ใช่ที่ของเจ้า แต่เจ้าก็เลือกที่จะอยู่ เมื่อมันเป็นสิ่งที่เจ้าเลือก ก็จงอยู่ แต่..

หากเจ้าอยากมาเยี่ยมเยียนอีกโลกที่เจ้าคุ้นเคยเพราะมันคือบ้านที่แท้จริงของเจ้า ที่ที่ตัวของเจ้าได้เป็นอิสระทางจิตวิญญาณ ที่ที่เจ้าไม่ต้องปกปิดสิ่งใดเอาไว้ภายใต้ตัวตนที่หมองหม่นของเจ้า เจ้าก็สามารถที่จะมา หากเจ้าปราถนาจะมา...

ข้ารู้ว่าเจ้าเหงา และเดียวดาย มันเป็นความเดียวดายที่ขมขื่น เป็นสิ่งที่เจ้าคำนึงอยู่ในจิตใจแต่ไม่ได้เอ่ยออกมา แต่ข้ารู้ ข้าเห็นมันในแววตาของเจ้า มันบ่งบอกได้ทุกอย่าง แต่มันคือความอ่อนแอ หลายคนมากมายในโลกใบนี้ที่ยังคงเจ็บปวด แต่ก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป เจ้าก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป 

ตอนนี้ข้าชรามากเหลือเกินแล้ว
ในวันข้างหน้าที่เจ้ามาเยี่ยมเยียนที่นี่ ข้าอาจไม่อยู่แล้ว แต่ทุกๆอย่างของข้าก็จะวนเวียนพร่ำสอนเจ้าอยู่ร่ำไป ข้าดุร้ายกับเจ้าเสมอมา แต่เจ้าคงรับรู้ได้ว่าทำไม แม้วันนี้เจ้าไม่ต้องอยู่ในกรงขังอีกแล้ว ส่วนข้าก็ไม่ต้องโหดร้ายกับเจ้าอีก แต่ในเมื่อเป็นครู ข้าก็ต้องพร่ำสอนเจ้าเรื่อยไป เพราะมันคือตัวตนของข้า เป็นสิ่งที่ข้าทำได้ดีที่สุด

--

ไซย์

" ข้ารู้ "
.
.
เมื่อถึงเวลาเดินทางกลับ ไซย์ได้ไปบอกลาน้องชายบุญธรรม พูดคุยกันก่อนที่เธอจะลาจากมา หวังว่าเขาจะทำได้ดี ฝึกฝนได้ดี และค้นพบตัวเอง ที่นี่ เธอคิด

ไซย์บอกกล่าวอาจารย์ว่าตนจะเดินทางกลับด้วยวิถีเดิมเหมือนตอนฝึกเมื่อหลายปีมาแล้ว

อาจารย์เลิกคิ้วสูง มองมา คงประเมินว่าเธอพูดเล่น หรือลืมว่าตนอ่อนแออย่างไรในตอนนี้ แต่เมื่อเข้าใจว่าเธอจะไม่ตาย"แถวๆนี้"ก็พยักหน้าตอบรับ ไม่ได้พูดอะไร

ไซย์คิด แม้จะเป็นเพียงหนึ่งคืนเดียวดายท่ามกลางป่าเขา แต่มันคือโลกของเธอ.. เธอเป็นหนึ่งเดียวกับผืนป่าและผืนดินของที่นี่ แม้จะกังวลเพราะไม่กล้าหาญเหมือนก่อน แต่ตัวตนภายในลึกๆก็ร้องคิกคัก พากันตื่นเต้น เธออาจพบเห็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาบ้าง คงเป็นประสบการณ์เล็กๆพอจะหล่อหลอมเป็นยา เยียวยาจิตใจเธอได้บ้าง..

ไซย์จะรอพบสหายคนหนึ่งของเธอ ที่จะรอรับเธอ ที่จุดนัดพบในวันต่อมา เพื่อรับส่งเธอไปยังที่หมายด้วยความเร็วเพียงสองวัน จากเจ็ดวันกว่าๆ เพราะเธอคงไม่เดินทางด้วยเท้าเปล่าเป็นเวลาสัปดาห์กว่าๆจนถึงที่หมายหรอกนะ... เธอไม่มีเวลาขนาดนั้น และตอนนี้สังขารของเธอก็ใช่ว่าจะดี และสิ่งที่ต้องเจอระหว่างเดินทาง ต่อให้พิเศษแค่ไหน ก็ใช่ว่าบางครั้งจะไม่ยุ่งยาก แต่ไซย์คิดว่าคงจะดีหากได้ทำอะไรที่เป็นตัวของตัวเอง วิถีเดิมๆที่เคยทำมา สักคืน.. เพื่อวัดใจ

แม้กระดูกของเธอจะไม่ค่อยยอมรับความคิดนี้ มันประท้วงความคิดนี้ด้วยอาการปวดแปล๊บๆตามข้อกระดูก แต่เธอก็เฉยๆ มันดีขึ้นในโลกนี้ เธอคิดว่าไหว ก็ต้องไหว...

อาจารย์ให้เสบียงอาหารแห้ง ซึ่งไซย์ดีใจมากๆ พร้อมกับคบเพลิงไฟสีแดงฉานเพื่อนำทาง มันมีด้ามไม้ให้จับ ซึ่งยาวเท่ากับความสูงถึงหัวไหล่ของเธอ

อาจารย์ทำขึ้นโดยเฉพาะเพื่อให้เธอใช้แทนต่างไม้เท้า ไฟจะมอดดับก็ต่อเมื่อไซย์เอ่ยวาจาในภาษาเก่าๆของที่นี่สักสองสามคำ และติดไฟใหม่เมื่อสั่งมันในภาษาเดิมอีกคร้ง แม้วิถีเดิมตอนฝึกจะไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็ตาม วิถีเดิมคือต้องหาแสงสว่างในความมืดด้วยตนเอง จุดไฟเอง คงเพราะท่านรู้ว่าข้านั้นไม่เหมือนเดิม ดวงตาก็มองไม่ค่อยเห็นแบบเดิม คบเพลิงจึงเป็นเรื่องดี ท่านจึงมอบให้ ไซย์ไม่ได้แตะต้องเจ้าสิ่งนี้ มานาน แสนนาน...

ก็ในโลกธรรมดาของเธอมันมีหลอดไฟ และไฟฉาย... นี่นะ..

.
.
...........................................................................................................
🍃🌸🍃🌸🍃🌸🍃
©salinsiree
If you have any questions, or would like to talk, contact me!
salinsiree.witchy@yahoo.com