(เรื่องสั้น) too little, too late // ep.1 (mission of sily ภารกิจของไซลี่)

คลิก - from บทที่ 2 : too little
............................
คลิก - from บทที่ 3 : too late (จบ the end)
............................
A
...
เล่าว่า
..
เล่าว่า : ... ชายคนหนึ่งกำลังหนีบางสิ่งอยู่ในที่-ที่ไกลจากบ้าน เมื่อบ้านเขาหายไป เขาจึงมีความลับบางอย่างในจิตใจและเดินทางโดยมีเส้นตรงที่ขนานกับพื้น เขาสร้างเส้นทางนี้ขึ้นมาเองเพราะเส้นทางสายเก่าถูกตัดขาดเนื่องจากมันถูกคนอื่นทำลายเมื่อนานมาแล้ว เขาล้มเหลวต่อสภาวะที่สูญเสีย ชั่วขณะหนึ่งเขาก็ได้สูญเสียตนเองไปด้วยเช่นกัน หลงลืมตนที่เคยเป็นและเข้าสู่ใครอีกคนที่ไม่ใช่เขาแต่ก็คือเขา. ในเวลาต่อมา เขาได้หันไปหาสถานที่แห่งหนึ่งที่มีไว้ชำระบาปตลอดเวลา-เพราะมันต้องคอยทำบาปอยู่ตลอดเวลา มันคือการคร่าชีวิตผู้อื่น และเขาหวังที่จะพึ่งพามันด้วยกำลังและความแค้นฝังใจที่มีผลักดันให้เขาเดินเข้าหาที่นี่ "เมื่อเจ้าเดินเข้า ประตูจะเปิดออก แต่เมื่อเจ้าคิดจะออก ประตูจะถูกปิดตาย" คำสลักบนประตูมีไว้ให้อ่าน เขาคิดเช่นนั้นและเดินเข้าไป... เขาอาศัยอยู่ที่นั่นถูกทำลายเพื่อให้ได้เกิดใหม่ และถูกทำให้เป็นคนใหม่ที่ลืมคนเก่า คนเก่าที่ได้ตายจากใปในวันนั้นที่ทางสายเก่าถูกตัดขาด คนนี้ที่ตื่นมาไม่ใช่เขาแต่ก็คือเขา เขาคนนี้ทำได้ทุกอย่างที่ต้องหลั่งเลือด เขากลายเป็นนักล่าเพียงเพราะเขาต้องการทำลายบางสิ่งที่ทำลายเขา การมีชีวิตอยู่ที่นี่ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะอยู่รอดและรู้จักที่จะกำจัดหากจำเป็น เขาไม่พูดอะไรมากหากไม่ต้องการรู้อะไรอื่น. การทำให้ผู้อื่นหลั่งเลือดครั้งแรกในชีวิตเขา มันกลายเป็นการชำระล้างคนเก่าที่ยังเคยมีอยู่ในตัวเขาไปจนหมดสิ้น และเขาทำมันต่อมาเรื่อยๆตามหน้าที่ใหม่ๆและการฝึกฝนใหม่ๆ ที่นี่ไม่มีเพื่อนให้คบหามีแต่เพื่อนร่วมงานที่ชอบการหลั่งเลือด เขาไม่สนใจรสชาติของสิ่งใดอีกแล้วในตอนนั้น. จนวันที่เขารอคอยไกล้มาถึง วันที่เขาได้รับข่าวสารที่ต้องการและเขาวางแผน... เขาขอสร้างหน้าที่นี้ขึ้นมาเองและให้เหตุผลที่รอคอยมาทั้งชีวิต และเขาได้รับอณุญาต. ไม่นานหลังจากนั้นเขาออกเดินทางไปสู่ที่ที่ห่างไกลสำหรับเขา เมื่อถึงที่หมายเขาเปิดเผยตัวและปล่อยข่าวสารบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขา ใครบางคนที่เขารอคอยจะต้องได้รับรู้ ร้อนรนและตามหา และเขาจะทำเป็นหนีด้วยความหวาดกลัว และปล่อยให้คนคนนั้นต้องคอยมองและหวาดระแวงเขาคิดอย่างนั้น เขาเฝ้าติดตาม สะกดรอยและหาข้อมูล เขาซุ่มและเก็บตัวในที่ที่เล็กและแคบ มีแค่ทางออกที่ชัดเจนสำหรับเขาเป็นพอ หากยามคับขันมาถึงตัว. แล้ววันหนึ่งที่เขารอคอยก็ได้มาถึง เขาซุ่มมองคนคนหนึ่ง มันคือคนที่เขารอมาทั้งชีวิต ครั้งแรกที่เห็นความเดือดดาลได้พลุ่งพลาน เลือดในกายของเขาร้อน ความโกรธเกรี้ยวเปลี่ยนเขาเป็นสัตว์ในทันที เขาปลดปล่อยบางอย่างเพื่อสังหารคนคนนั้น. แต่ตรงกันข้าม เมื่อสิ่งที่เขาต้องการสังหารกลับไม่มีอยู่จริงจากจุดที่เขาคอยเฝ้ามอง เขาทำพลาดสิ่งใดเหรอ เขาคิด ความผิดหวังเริ่มจู่โจมเขา และในตอนนั้นเองที่ความรู้สึกชาได้แล่นไปทั่วร่างอย่างบังคับไม่ได้ ร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวและความมืดก็เข้าปลกคุมเขาและมันปลกคุมหัวใจของเขาด้วยเช่นกัน. เมื่อลืมตาตื่นเขาถูกทรมานอยู่ เสียงมากมายคล้ายสัตว์ถูกทรมานหลั่งไหลออกจากปากของเขา เขาทั้งด่า สบทและมากมายที่คนอย่างเขาจะทำได้. ไม่รู้นานเท่าไหร่จากการทรมาน ถูกมัด ถูกดึงทึ้งและห้อยตัวโอนเอนแม้สองเท้าจะถึงพื้นแต่สองแขนก็ถูกยกขึ้นและสองมือถูกมัดแน่นจนเลือดคลั่งใต้ผิวหนัง. และเมื่อคนคนนั้นเดินเข้ามา แม้แต่ในสายตาที่พล่าเลือนจากความพกช้ำ เขาก็ยังคงจดจำได้ดีว่าคนที่เดินมาหาเขาคือใคร เขาจำทุกๆอย่างได้แม้แต่เสียงสุดท้ายที่มันคนนั้นฝากไว้ มันทำให้เขาตะโกนคำรามสุดเสียงที่แหบพล่า เป็นการคำรามเหมือนสัตว์ร้ายที่ต้องการขย้ำคู่ต่อสู่และอยากฆ่าให้ตาย แต่ในตอนนี้มันก็ไม่ต่างจากการคำรามแห้งๆเพื่อป้องกันตัวของสัตว์ที่ไม่อยากถูกทำร้ายหรือไม่อยากโดนฆ่านั่นเอง. มันคนนั้นย่อตัวจ้องหน้าเขา ความยิ่งใหญ่ที่มันมีคงจะสามารถทำได้ทุกอย่างแม้เพียงแค่กระดิกนิ้วให้เขาตาย และเขาคงตายในทันที ความน่าเกลียดที่มันมีคือความไม่แยแสต่อทุกสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของมันเอง มันมาพร้อมกับความโหดร้ายที่มีชื่อเสียง เขาอยากถุยน้ำลายใส่หน้ามันแต่คอช่างแห้งผากและปากช้ำเกินกว่าจะขยับเขยื้อน. มันถามถึงสิ่งต่างๆด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มันหยอกล้อด้วยท่าทีที่สุขุม มันมองด้วยสายตาที่เขาอยากควักออกมาและขย้ำบี้ให้เละ. บางอย่างที่เขาคนเดียวเท่านั้นรับรู้ บางสิ่งที่เขาคนเดียวเท่านั้นทำได้ บางเรื่องที่มันคนนั้นต้องการเพื่อให้ได้มาซึ่งบางสิ่งและความผิดบางอย่างที่มันต้องการชำระล้างนั้น ขึ้นอยู่กับเขา และเขารู้ดีว่าถือไพ่เหนือกว่า เขาจะไม่มีวันตายหากมันไม่ได้ตายก่อน และมันจะไม่ได้อะไรหากเขาไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา. และคำถามที่เขารอก็เกิดขึ้น มันถามถึงบางสิ่ง และต้องการบางอย่าง เขาแสยะยิ้มปล่อยให้มันมองฟันที่เต็มไปด้วยคราบเลือดของเขา เขาหัวเราะในแบบที่คนไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะทำได้ จากนั้นเขาถูกซ้อม แน่นอนว่ามันไม่ยอมใช้มือของตัวเองมาเปรอะเปรื้อนต่อคนอย่างเขาแม้ว่าดวงตาของมันที่มองมา กล้ามเนื้อที่เกร็งและมือที่กำปั้นแน่นจะบ่งบอกว่ามันอยากทำ. ความคิดหนึ่งได้เข้ามาในหัวของเขา และเขาได้เชื่อต่อสิ่งนั้นว่าคือทางเดียวที่จะรอดเพื่อได้ทำลายมันอีกครั้ง ทางเดียวคือเขาจะไม่พูดอะไร ไม่อีกเลย. จากนั้นหลายสิ่งที่ทรมานร่างกายก็เกิดขึ้นแต่ด้วยความทรมานที่เคยถูกทำลายมาก่อนหน้านี้มันทำให้เขาไม่สนใจสิ่งใด เขายั่วยุด้วยสิ่งที่รู้ ท่าทางที่บอกมันว่าเขามีบางอย่างแน่นอน มันทำให้เขาสะใจที่ได้เย้ย และเขาโดนทรมานหลังจากนั้น. จนวันหนึ่งที่เขากำลังจะตาย มันบอกว่าเขาจะตายไม่ได้ -หากการทรมานทำให้คนอย่างนายบอกอะไรไม่ได้ ก็คงต้องหาทางอื่น นายคงคิดว่าตัวเองสำคัญและจะยังไม่ตายใช่หรือไม่ อาจใช่นะ- แม้มันจะพูดอย่างนั้นแต่มันทำหน้าราวกับว่าได้ชนะเขาแล้ว. จากนั้นเขาถูกปล่อย แต่ยังคงถูกล่าม ผูก และหลายสิ่งที่เป็นเครื่องมือสำหรับผูกมัดให้เขาหนีไม่ได้ บางอย่างเขาพึ่งเคยเห็น บางอย่างก็พึ่งได้ลิ้มลอง มันช่างทรมานหากเป็นเขาอีกคนแต่นี่ไม่ใช่เขาคนนั้นแล้ว. เขาถูกจับโยนลงน้ำทั้งที่ยังถูกมัดคอ มันคงเป็นการทำความสะอาดอย่างหนึ่งที่ทำให้บาดแผลแสบและปวดร้าว เหงื่อไคลไหลออกแม้จะไม่ได้ขัดถู เขาดื่มน้ำแทบจะทั้งหมดนั่นจนเกือบสำลัก ทางเดียวที่จะได้ดื่มน้ำจนอิ่มเขาคิดอย่างนั้น จากนั้นเขาถูกดึงขึ้นและถูกเป่าด้วยลมร้อนที่ทำให้ผิวหนังแห้งจนเกือบละลาย แผลที่โดนน้ำมาแห้งจนแดงและเริ่มแฉะเพราะความร้อนที่มากเกินไป เกิดเป็นความปวดแสบร้อนทำให้เขาตะโกนก้อง และเมื่อมันคิดว่าแห้งดีแล้วจึงพาเขาไปรักษาบาดแผลโดยการถูกขึงตึงบนเตียง แขนขาถูกล็อค เมื่อทำแผลเสร็จมีการฉีดยาให้ในตอนท้าย. จากนั้นไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เขาสับสน มึนงงและอ่อนล้า บางอย่างอาจเป็นยาที่ฉีดเข้าสู่ร่างกายเขา ทำให้เขาไม่มีเรี่ยวแรง ทุกอย่างถูกบังคับให้เคลื่อนไหวโดยที่ตัวเขาไม่ได้คัดค้าน. เขาถูกเคลื่อนย้าย เครื่องบินลำหนึ่งที่เขาต้องขึ้นมัน มันจะพาเขาไปที่ใดกันนะ และแล้วเขาก็ล่องลอย ลอยออกไปในที่ที่ไกล ปลายทางที่เขาจะไปคงเป็นที่สุดท้ายสำหรับเขา เขาคิดว่าตนเองทำผิดมาทั้งหมด ตนเองอาจโง่เขลาก็เป็นได้. ไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่มันนานเหลือเกินสำหรับเขาเมื่อเครื่องลงจอด เขาถูกนำลงมา. จากสิ่งที่เขามองเห็นอย่างแรกของสถานที่นี้คือป่าเขา ที่นี่อาจเป็นประเทศใดประเทศหนึ่งในเอเชีย มันดูแตกต่างจากที่ที่เขาจากมา เหมือนเป็นอีกซีกโลกหนึ่งก็เป็นไปได้ บางอย่างบอกเขาในใจว่าที่นี่คงเป็นที่สุดท้ายสำหรับเขาแล้วจริงๆ เขาคิดซ้ำๆและโมโหตัวเองตลอด. เขาถูกเคลื่อนย้ายโดยรถยนต์คันหนึ่ง แน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดให้เห็นสำหรับเขา. เมื่อถึงที่หมายเขาถูกเคลื่อยย้ายเข้าสู่ตึกสูงที่ไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจนนัก ทุกอย่างไม่มีความชัดเจนอีกแล้วสำหรับเขา. มันนำเขาไปรักษา ทำความสะอาดแบบที่สมควรต้องทำ จากนั้นเขาถูกนำไปขังไว้ในห้องสี่เหลี่ยมโล่งไม่มีสิ่งใดนอกจากห้องน้ำ และเขาไม่ได้หนี. จากนั้นคือช่วงที่ทรมานสำหรับเขา เขาถูกทรมานทางจิตใจผ่านเรื่องราวในอดีตที่อยู่ไกล เขาถูกทรมานด้วยสิ่งนี้ หลากหลายวิธีที่มันใช้กับเขาทำให้เขาเข้าใจว่าโลกนี้ยังมีสิ่งที่ทรมานคนได้มากกว่าการถูกทำร้ายผ่านเนื้อหนัง เขาถูกกัดกินได้อย่างน่ากลัวจนสิ่งที่เคยเหมือนความไกล้ตายของเขานั้นอยู่ห่างไกลออกไป ไม่นานเขาก็อ่อนแอและทรุดลง. ตลอดเวลานั้นเขายังคงพูดบ้างเล็กน้อยแม้ส่วนใหญ่จะเป็นการตะโกนก้องและร้องโหยหวนเพราะความเจ็บปวด เขาไม่มีบาดแผลอะไรเพิ่มเติมแล้ว แต่หัวใจเขาต่างหากที่ได้รับบาดแผล มันทำให้เขายอมพูด แต่เขาไม่ได้พูดในสิ่งที่มันต้องการสักที ตอนนั้นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเขาคือการหวังว่าจะรอดพ้นจากที่ตรงนี้เพื่อทำให้มันคนนั้นได้หลั่งเลือด. ไม่นานจากนั้น การถูกทรมารในวันหนึ่งทำให้เขามีความคิด คิดว่าความเงียบนั้นช่างดี มันช่างปลอดภัย แค่เงียบก็น่าจะปลอดภัย. การทรมารเขายังคงมี แต่เขาไม่มีสิ่งใดให้มันเห็นจากการถูกทรมานเหล่านั้นและครั้งต่อๆมา และมันยังคงหาทาง แต่ไม่เป็นผล. จากนั้นไม่นานเขาก็ลืมวิธีที่จะพูด ไม่พูดสิ่งใดอีกเลยแม้แต่จะครวญครางจากการถูกทรมารก็ไม่มีอีกแล้ว บางอย่างพังทลายสิ่งที่จะเปล่งเสียงของเขา เขาคิดว่าหากตายก็ต้องตายด้วยความสะใจที่มันไม่ได้อะไรจากเขา แต่เขาไม่ได้ตายและการทรมานกลับถูกยกเลิก. เขายังคงเงียบและถูกปล่อยตัวอีกครั้ง ถูกพาไปทำความสะอาดร่างกายเพราะเขาไม่เคยทำแม้จะมีห้องน้ำในห้องขัง จากนั้นเขาถูกเคลื่อนย้ายอีกครั้ง มันก็แค่อีกชั้นหนึ่งจากชั้นที่อยู่และเขาก็ยอมเคลื่อนไหวตามที่มันต้องการทุกอย่าง. ชั้นที่เขาจะต้องอยู่ ทั้งชั้นถูกทำใหม่ทั้งหมดเพื่อเขา มันโล่งและมีเพียงห้องเดียวอยู่สุดทางเดิน ทั้งชั้นคือสีขาว และห้องนั้นคือสีขาว เขาถูกเคลื่อนย้ายเข้าห้องนั้นผ่านกำแพงที่ทำจากกระจก มันถูกดึงเลื่อนขึ้นไว้ด้านบนเมื่อเขาถูกนำตัวเข้ามาภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กนี้ มีเพียงเตียงนอน ห้องน้ำ มีช่องอะไรสักอย่างไกล้เตียงนอนและในห้องน้ำ เขารู้ในภายหลังว่ามันคือช่องรับอาหารอัตโนมัติและเสื้อผ้าที่จะสวมใส่. วันแรกและวันต่อมาจากนั้นเขายังคงคิด และหาทาง ยังคงวิ่งวุ่นและพยายามหนี ในเมื่อไม่มีการทรมาน ไม่มีสิ่งใดรบกวนเขาจึงเพิ่มพลังด้วยการทาน ดื่ม ออกกำลังกายเท่าที่ทำได้ในห้องแคบๆ แต่บางอย่างกดดันเขา และเขามักจะตะโกนก้องเพื่อเปล่งเสียงออกมา เขายังคงไม่เอ่ยสิ่งใด ไม่มีสิ่งใดออกจากปากของเขา... จากนั้นต่อมา ซึ่งไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่มันส่งใครบางคนมา ใครสักคนคล้ายนักบำบัดหรือพวกนักจิตวิทยา พวกนี้ไม่ได้มาเพื่อทำร้ายหรือฆ่าฟันเขา แต่มาเพื่อรักษาและทำให้เขาพูด เขาหัวเราะเยาะมันด้วยการเบ่งเสียงให้ดูเหมือนจะพูด รายแรกเป็นเพียงชายวัยกลางคนที่เขาพุ่งเข้าขย้ำคอจนเหวอะและจับโยนใส่กำแพงกระจก มันดิ้นชักกระตุกและเขายืนมองอยู่นิ่งๆ ภายในปากยังมีเลือดรสเค็ม มันติดอยู่ที่ลิ้นของเขา. ไม่มีการลงโทษเขาที่ทำอย่างนั้น ไม่มีการทรมาน มีแต่การดูแล ทำความสะอาด รักษา เขาไม่ขัดขืนเพราะยังไงก็ไม่สามารถทำได้. และเขาไม่เคยเห็นมันคนนั้นอีกเลยจนเริ่มหงุดหงิดใจว่ากำลังสูญเปล่าในเวลานี้ จนวันหนึ่งมันก็ได้มาหาเขา มายืนอยู่หน้ากำแพงกระจก. เขายิ้มแยกเขี้ยวแล้ววิ่งเข้าใส่ เขาทุบกระจกและพยายามพังมัน ส่วนมันคนนั้นแค่ยิ้มแล้วพูด เสียงของมันเข้ามาในห้องของเขาแม้ตัวมันเองจะยืนอยู่ภายนอก มันถามถึงสิ่งที่เขารู้ และต้องการอะไรเดิมๆ แค่ครั้งนี้เปลี่ยนวิธีการพูดแบบใหม่แต่ท่าทางยังคงเดิม หยิ่งเย้ยหยันและไม่แยแสสิ่งใด หยอกล้อเขาและทำเหมือนตนชนะอยู่ตลอดเวลา และเขายังคงทุบกระจกต่อตรงจุดที่ตรงกับหน้าของมัน. และในตอนนั้นเองที่กระจกร้าว.. ชั่วขณะหนึ่งสีหน้ามันเปลี่ยนไป แค่เพียงครู่เดียวมันก็ทำให้เขารู้สึกดี เขาถอยกลับไปและออกแรงกระโดดทุ่มตัวกระแทกใส่กำแพง และกระจกร้าวกว่าเดิม มันถอยหลังและสบทบางคำก่อนจะแสยะยิ้มให้แล้วเดินจากไป เขารีบถอยออกมาไปเลื่อนเตียงนอนมาไว้กลางห้อง เขาจับมันยกด้วยกำลังทีมีเพื่อให้มันตั้งตรง จากนั้นผลักมันใส่กำแพง มันค่อยๆเอนลงและทุ่มใส่กำแพง กำแพงกระจกแตกและร้าวเป็นรู เขาขยับเตียงให้กระจกแตกเพิ่มจากแรงเคลื่อนที่เสียดสีของเตียง จากนั้นเขาก็ทุบมันด้วยมือเปล่า ดึง ทุบ เมื่อเป็นรูพอลอดตัวออกไปได้ เขาจึงทำแม้จะไม่ได้ราบรื่นและมีบาดแผลมากมาย แต่มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไร เขาวิ่ง เขาหนี ด้วยใจที่ลิงโลดแม้จะยังคงกังวลใจถึงสิ่งที่ดูง่าย. ชั้นนี้ไม่มีบันไดนอกจากลิฟท์ตัวเดียวที่มี เขาวิ่งถลาไปที่มันแต่แล้วมันก็เปิดออก กลุ่มคนสี่คนที่ดูก็รู้ได้ว่ามีไว้เพื่อฆ่าก็ออกมา-เขากระโจนเข้าใส่ทันทีเช่นกันทั้งสู้และฟาดฟันเต็มที่ และเมื่อสองคนแรกถูกล้มได้ แต่ที่เหลืออีกสามเขาคิดว่าคงรับมือไม่ไหวแน่ แต่กระนั้นเขาก็เกือบทำได้แล้วถ้าหนึ่งในนั้นไม่ใช้อาวุธ เขาบ้าคลั่งทั้งอารมณ์และความโมโหจนถึงที่สุด เขาคำรามและมันดังกว่าครั้งไหน. วันเวลาผ่านไป กระจกถูกซ่อมแซมและมันหนากว่าเดิม ขาเตียงนอนถูกทำให้ยึดติดกับพื้น บาดแผลเขาได้รับการรักษาและมันดูเหมือนได้รับความเมตตา เมื่อแข็งแรงขึ้นเขาพังกระจกใหม่ และมันเกือบสำเร็จ แต่ไม่นานกำแพงกระจกก็ถูกทำใหม่และมันหนาขึ้นอีก จากนั้นเขาก็เกือบทำลายมันได้อีก และมันก็ถูกทำใหม่อีกครั้งและครั้งนี้มีการเพิ่มจำนวนกำแพงกระจกถึงสิบสี่แผ่น รวมกำแพงที่กั้นห้องเขาไว้จึงเป็นสิบห้าแผ่น แต่ละแผ่นมีระยะห่างประมาณหนึ่งเมตร เขาทำลายมันไม่ได้อีกแล้วแม้จะลองทำบ่อยครั้ง. วันเวลาผ่านไปมีคนถูกส่งมาอีกครั้ง รายที่สองมาในมาดสุขุมดูมั่นใจในตัวเอง อายุยังดูไม่มากนักแต่ก็ไม่อาจเดา คำพูดคำจาแต่ละอย่างถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสวยหรู อ่อนโยนจนเลี่ยนสำหรับเขา เขานั่งขดตัวบนเตียงแล้วทำเป็นล้มตัวลงนอนฟัง ผู้มาเยือนยิ้มอย่างดีอกดีใจก่อนจะผงะ เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขาที่ไม่ใช่การยิ้มอย่างคนที่เชื่อฟัง เขายิ้มแล้วค่อยๆดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง ผู้มาเยือนพยายามปลอบใจเขาด้วยคำพูดที่เพ้อเจ้อของพวกนักบำบัด เขาทำเป็นเชื่อฟังก่อนจะทำท่าแสร้งนอนลงอีกครั้งจากนั้นก็..ค่อยกระโจนพุ่งเข้าใส่ เขาผลักผู้มาเยือนติดกำแพงก่อนจะบีบคอมันด้วยมือของเขา เมื่อผู้มาเยือนดูท่าจะไม่รอดเขาก็ปล่อยให้มันล้มกองตรงพื้นอ้าปากพะงาบหายใจติดขัด ก่อนเขาจะกระทืบซ้ำตรงหน้าอกอย่างแรง ผู้มาเยือนที่หน้าสงสารสำลักคำพูดที่ดูตลก เสียงที่เปล่งออกมาน่าขำสำหรับเขา และเขาหัวเราะ เขาจับมันลุกขึ้นแล้วโยนใส่กำแพงกระจกอย่างสุดแรง มันทรุดลงกองกับพื้นแล้วเขาก็เดินเข้าหาและใช้เท้ากระทืบตรงกลางลำคอผู้มาเยือนเป็นครั้งสุดท้าย. วันเวลาผ่านไปกับการคำราม ตะโกนก้องและเดียวดาย การทรมานเริ่มกลับมาอีกครั้งด้วยเสียง เสียงของผู้ที่ตายแล้วจากบ้านเกิดของเขา มันไม่มีอยู่จริง มันทำอะไรเขาไม่ได้หรอกนอกจากแค่อาเจียนพุ่งเป็นระยะๆแค่นั้น. วันหนึ่งมันคนนั้นมาหาเขา และก่อนมันมาเขาถูกทำให้อ่อนแรงด้วยบางอย่างอาจมาจากอาหารหรือน้ำดื่ม มันเข้ามาหาเขาในห้องสี่เหลี่ยม ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งไหนๆเมื่อเข้ามาสิ่งแรกที่มันทำคือต่อยหน้าเขา ใครจะไปคิดว่าผู้ชายวัยกลางคนจะมีแรงเท่ากับคนหนุ่มหรือมากกว่าคนหนุ่มทั่วไป มันซ้อมเขาและข่มขู่เขาอย่างเลือดเย็นด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความหมายอะไร เขาทำได้แค่หัวเราะ ร่างกายกระตุก ตอนนี้เขามั่นใจอย่างหนึ่งแล้วว่าครั้งหนึ่งมันคนนี้ก็ต้องเคยอยู่ในที่ที่ถูกฝึกมาอย่างเข้มงวดและอันตราย การทำร้ายที่มันทำกับร่างกายเขา ไม่ใช่ป่าเถื่อนแต่เป็นวิถีของคนที่ถูกฝึกมาแม้จะใส่อารมณ์ลงไปมากกว่าความตั้งใจก็ตาม เขาก็ทำเช่นเคยเหมือนที่มันเคยมาหาเขา แต่ครั้งนี้เขาเงียบไม่มีการเยาะเย้ยหรือยิ้มหยัน แล้วมันก็จากไปด้วยความว่างเปล่า ไม่ได้อะไรจากเขา เขาคิดเสมอว่าคนอย่างมันจะเก็บเขาไว้นานสักแค่ไหนนะ. จากนั้นเป็นเวลานาน เขาคิดว่าอาจหลายเดือนรายที่สามถูกส่งมา รายนี้เป็นผู้หญิง หล่อนทั้งสวย-งดงามและรู้จักที่จะยั่วยวน หล่อนยอมพลีกายเพื่อให้เขาพูด คงไม่ใช่นักบำบัดซะแล้วถ้ารู้จักเรื่องนี้ดีขนาดนี้เขาคิด เขาทำเป็นยอม แสดงท่าทางอ่อนไหวและตื่นเต้นที่ได้เห็นผู้หญิง ทำเป็นไม่คุ้นเคย มีขัดขืนเพราะไม่ไว้ใจเล็กน้อย หล่อนพูดจาหว่านล้อมต่างๆนาๆเขาคิดว่าเล่นกับหล่อนซะหน่อยคงไม่เป็นอะไร เมื่อมีผู้หญิงมาให้เขาได้ปลดปล่อยถึงที่ ทำไมต้องปล่อยให้มันจบเร็วนัก หล่อนยอมมีเซ็กส์กับเขา จริงๆต้องบอกว่าเขายอมหล่อนแม้ว่าหลังจากนั้นเขาจะเป็นฝ่ายรุกด้วยความโหยหาและต้องการ เขาปลดปล่อยเต็มที่แทบจะบีบเค้นหล่อนไม่ให้เหลืออะไรติดตัวกลับไป และดูเหมือนหล่อนจะชอบจากใจ ทั้งเสียงที่ครวญครางทั้งอาการที่แสดงออกมา เมื่อเสร็จแล้วหล่อนก็ค่อยๆหว่านล้อมเขา เขาร้องไม่พอใจในลำคอก่อนจะจับหล่อนมาไว้ใต้ลำตัวอีกรอบ แต่ครั้งนี้หล่อนเป็นฝ่ายขัดขืน จะด้วยว่ารอบแรกมันพึ่งจบไปไม่นานหรือจะเพราะว่ามันเกินหน้าที่ที่ให้หล่อนมาทำ จะยังไงหล่อนก็สู้แรงเขาไม่ได้ ทั้งกรีดร้อง ทั้งขัดขืน แต่เขาก็ยัดเยียดใส่หล่อนจนได้ ครั้งนี้แม้หล่อนจะไม่สมยอมแต่เขาก็พอใจ พวกมันรู้จักเขาน้อยเกินไปถึงใช้ผู้หญิงที่ขายช่วงล่างมาล่อลวง คงคิดว่าเขาจะไม่กล้าทำอะไรผู้หญิงสินะ เมื่อหล่อนผละจากเขาได้ก็พยายามทำทุกอย่างให้เหมือนเดิม พล่ามสินะเขาคิด เมื่อเขาลุกขึ้นก็เดินไปหาหล่อน จับหน้าหล่อนมามองตรงๆก่อนจะจูบ หล่อนยังไม่ทันได้ขัดขืนเขาก็จับคอหล่อน และบิดมัน เพียงแค่กริ๊กเดียวเสียงนั้นมันทำให้เขาพอใจ หล่อนฟุบลงไปกองกับพื้นด้วยร่างกายเปลือยเปล่าตัวเขาก็เช่นกัน และเขารู้มาตลอดว่าถูกเฝ้ามองดูอยู่ ภายในห้องนี้แม้จะไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่ามีการถูกดู เขาก็รู้เสมอว่ามันต้องมี เขาแสดงสีหน้าเย้ยหยันและพยายามหันมองไปทั่วห้อง... จากนั้นวันเวลาผ่านไปเนิ่นนาน และเขากลับมาถูกทรมานทางจิตใจอีกครั้ง ถูกรักษาซ้ำๆวนไปมา เขาปรับตัวกับการมีชีวิตอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กนี้ได้แล้ว อาหาร น้ำดื่ม เสื้อผ้ามีพร้อม การทรมานกัดกินเขา แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ช่วยให้เขาอดทนและเก่งขึ้นในเรื่องการไม่เอ่ยสิ่งใด จากตอนนั้นถึงตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเป็นปกติแล้วที่จะไม่พูดสิ่งใด การคำราม ร้องครวญต่อความทรมานที่ได้รับคือการระบายอย่างหนึ่ง ที่ผ่านมามันคงคิดว่าเขากลายเป็นบ้าและพยายามใช้นักบำบัด นักพูดมาทดลองกับผม น่าขำนักที่มันไม่ได้ผล และมันคนนั้นก็รู้ดีว่าเขาเป็นอะไร เพียงแต่มันอยากลอง. การไม่รู้วันเวลาสิ่งนี้ทรมารเขาอย่างหนึ่ง ช่วงแรกถึงกับทุรนทุรายแต่ตอนนี้เขาปรับตัวได้แล้ว และมันคนนั้นยังคงมาหาเขา ทิ้งระยะห่างแต่เพียงพอดีในทุกครั้ง และทุกครั้งเขาถูกเล่นสนุกด้วยคำพูด บางคำกัดกินเขา บางคำเยาะเย้ยเขา บางคำทรมานเขา บางครั้งมันก็ทำร้ายร่างกายเขา. แล้วก็เหมือนเดิม เขายังคงถูกรักษา เยียวยาและทำแผล พักฟื้น ต่อด้วยการทรมานทางจิตใจ มันหลอกหลอนเขาและมันทำให้เขาป่วย ใช่แล้วเขาป่วยแต่ลึกๆแล้วเขารู้ เขาปล่อยให้มันเล่นงาน จนนานวันบางครั้งเขาท้อแท้และหลงลืมเป้าหมาย แต่แค่เพียงครู่เดียวเขาก็กลับมาตั้งเป้าหมายใหม่ดังเดิม. ประมาณหลายเดือนต่อจากนั้น รายที่สี่ก็ถูกส่งมา รายนี้เป็นหนุ่มน้อยนักบำบัดที่เก่งกาจทีเดียว ดูจากท่าทางที่คล่องแคล่ว สองแขนกวัดแกว่งราวกับจะสร้างสิ่งที่คิดกลางอากาศได้ น้ำเสียงที่สรรค์สร้างขึ้นเพื่อโน้มน้าวใจคน เป็นเพียงหนุ่มน้อยผู้ก้าวหน้าทางการบำบัดผู้คน เขายอมรับเลยว่าเจ้าเด็กคนนี้ทำให้เขาสนุกและเกือบเคลิ้มที่จะเอ่ยบางคำออกไปเพียงเพราะเรื่องที่หนุ่มน้อยพยายามพูดให้ผิด แล้วอยากให้เขาแก้เพราะมันเป็นสิ่งที่คนนิสัยอย่างเขาจะต้องคัดค้านทันที เกมส์นี้เขาเกือบพลาดท่าให้เจ้าหนุ่มน้อยนี่ไป แต่เขาก็ยังยอมที่จะยิ้มจากใจในรอบ.. ไม่รู้สิว่ามันผ่านมานานแค่ไหนแล้ว เอาเป็นว่าเขายิ้มและหัวเราะให้หนุ่มน้อยคนนั้น เด็กหนุ่มคิดว่าตนก้าวหน้าแล้วจากความรู้สึก เลยรุกต่อทันที แต่เขาเบื่อแล้วเนี่ยสิ ตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มเห็นว่าท่าจะไม่ดีแล้วจากสีหน้าของเขาจึงพยายามพูดจาที่พวกนักบำบัดใช้กัน พล่าม และน่าเบื่อ เขาจึงลองใช้ภาษามือเพราะคิดว่านักบำบัดน่าจะรู้จักแน่นอน หนุ่มน้อยพยักหน้า เขาทำภาษามือบอกให้เด็กหนุ่มออกไป ที่นี่ไม่มีสิ่งที่เด็กหนุ่มจะรักษาได้ เด็กหนุ่มทำท่าเหมือนอยากลองพยายามต่อเพราะเห็นเขายอมสื่อสารกลับมา แต่แล้วก็ยอมที่จะกลับ ความกลัวของเด็กหนุ่มคงเริ่มก่อตัวจากสายตาของเขาที่เด็กหนุ่มสัมผัสได้ เด็กหนุ่มกำลังผละจากไป. ตอนนั้นเองที่เขาคิดว่า ทำไมต้องปล่อยเด็กหนุ่มไปให้มันกลายเป็นช่องโหว่ มันจะดูเหมือนเขาแพ้ทางพวกเด็กๆ มันอาจได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ของเขา แต่ที่เขาเลือกจะปล่อยเด็กหนุ่มนักบำบัดคนนี้ไปเพราะเห็นบางอย่างในตัวเขา ความมุ่งมั่น ดูเป็นเด็กดีที่พยายามทำเต็มที่ และความสามารถของเขาก็ใช้ได้ดีทีเดียว แค่ต้องหาประสบการณ์ให้มากกว่านี้ ยอมรับเลยว่าเขารู้สึกเหมือนถูกดึงย้อนกลับไปในอดีตแต่แล้วเขาก็หยุดคิดและนิ่ง. ก่อนที่เด็กหนุ่มนักบำบัดจะเดินไปถึงกำแพงกระจก เขาเดินตามหลังเพียงแค่ไม่กี่วินาที จากนั้นเสียงดังกริ๊กที่เกิดจากการหักและบิดของกระดูกทำให้เด็กหนุ่มล้มฟุบลง... ครั้งนี้เขายืนมองอยู่เงียบๆก่อนจะถอยออกมาแล้วยิ้มเย้ยหยันอย่างที่เคยไปทั่วห้อง เพียงแต่ครั้งนี้หัวใจเขารู้สึกเศร้า.... วันเวลาผ่านไปมันนานเท่าไหร่ไม่รู้หลังจากนั้น ไม่มีการทรมานหรือการมาเพื่อข่มขู่ เขายังคงใช้ชีวิตอยู่ด้วยการหายใจ แต่บางอย่างของเขาได้ตายจากไป ในตัวเขามีบางสิ่งที่อธิบายไม่ได้และเขาก็ยังคงอยู่กับมัน. นานๆครั้งมันคนนั้นจะมาหาเขา ไม่ได้เข้ามาในห้องของเขา แต่จะยืนอยู่หน้าห้องที่มีกำแพงกระจกกั้นกลาง มีคำถาม คำพูด และมากมาย เขายังคงเงียบ และไม่ได้ฝืนใจอีกต่อไปแล้ว การไม่พูดอะไรมันกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ธรรมชาติของเขาไปแล้ว แต่ความโกรธและอาฆาตยังคงมีทุกครั้งที่ได้เห็นมัน เขาเกลียดทุกอย่างเกี่ยวกับมัน เกลียดที่มันไม่มีความแยแสต่อสิ่งใด และในทุกครั้งเขาจะตะโกนก้องใส่มันด้วยความโทสะ เพื่อหวังว่ามันจะรับรู้และรู้สึกถึงสิ่งที่เขาเก็บไว้. จากนั้นต่อมา เมื่อถึงเวลาที่มันคนนั้นสมควรมาหาเขา ก็ไม่มีใครมา. วันเวลายังคงเดินไป การไม่มีอะไรเกิดขึ้นทำให้เขาเริ่มตาย กำลังจะตายลงอย่างช้าๆด้วยความที่ถูกทำลายจนเปราะบางก่อนหน้านี้ ตอนนี้มันนานมากกว่าหนึ่งปีมาแล้วแน่นอน จากที่เด็กหนุ่มถูกเขาฆ่าตาย รายที่ห้าคงไม่มีอีกแล้วเพราะมันเลยช่วงเวลานั้นมาแล้ว แม้ทุกอย่างจะเป็นการคาดเดาจากความคิดของตนเอง แต่มันก็ตรงทุกครั้งหรือไกล้เคียงมาโดยตลอด. วันแล้ววันเล่าเขาก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้นเรื่อยมา วันเวลาก็ยังคงผ่านไปนานกว่านั้นเรื่อยๆ ต่อไปอีกเรื่อยๆจนบางวันเขาหลงลืมบางสิ่ง บางวันเขาไม่รับรู้อะไร และบางวันเขาลืมว่าตนต้องหนี มีอย่างเดียวที่ยังไม่ละเลยจากใจคือการทำทุกอย่างเพื่อให้คนคนนั้นตาย.
.................................................... 

บทที่ 1
she's in my dreams
...
...
วันนี้ เป็นเวลาเกือบห้าปี....
.
คืนนี้ยังคงเงียบ เฉกเช่นทุกคืนที่ผ่านเข้ามาและผ่านออกไป หลายคืนไม่มีสิ่งที่แตกต่าง หรือเพียงแค่ผมไม่ได้หามัน...

จากนั้นคืนหนึ่ง มันเป็นคืนที่แตกต่างออกไป อาจเพียงเล็กน้อยแต่ช่างชัดเจน เมื่อกลางคืนเดินทางมาถึง และความฝันได้เข้ามาทักทาย-ยามที่ผมนั้นหลับไหล

ทุกอย่างเงียบงัน เหมือนทุกครั้งที่รู้สึกตัว ไม่ได้แตกต่าง แต่ความเงียบงันนี้แตกต่างออกไป มันช่างกดดันและน่าสงสัย ทุกอย่างรอบตัวมืดสนิทและผมไม่คุ้นเคยต่อความมืดที่แปลกแยกนี้ บางอย่างทำให้ผมกังวลใจ สายตาไม่อาจจับจ้องที่ใดได้นานๆเพราะไม่มีสิ่งใดให้จับจ้องนอกจากความดำมืด ผมคิดว่าผมกำลังยืนแต่ปลายเท้าไม่อาจสัมผัสพื้น และในตอนนั้นเหมือนผมได้ยินเสียง มันเป็นเสียงหญิงสาวที่สับสนและปราศจากความหมายใด คำที่บางเบาและสะท้อนไปมา ผมพยายามฟัง แต่เสียงนั้นก็ยังขาดความชัดเจน มันคล้ายบทสวดที่ห่างไกลออกไป แต่ผมไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวและน่าแปลกที่ความกดดันได้คลายลง แต่ความสงสัยและไม่แน่นอนยังคงอยู่ ชั่วขณะหนึ่งในความสับสนของเสียง มีหนึ่งคำพูดที่ชัดเจน -ชื่อของผม เธอเรียกชื่อของผม เพียงครั้งเดียวที่ได้ยินเสียงนั้นเรียกชื่อของผมท่ามกลางเสียงที่สับสน ผมมองหาและรออีกครั้ง แต่ก็ไม่มีคำนั้นที่รอจากหญิงสาว

เมื่อผมตื่น ทุกอย่างที่เคลื่อนไหวในวันนั้นยังคงเดิม แต่หัวใจของผมไม่เหมือนเดิมแต่อธิบายไม่ได้ว่า ทำไม บางครั้งผมก็สงสัยว่านั่นคือหัวใจเหรอที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้น ภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กนี้มีบางอย่างที่เปลี่ยนไป และมันอาจเป็นผมเองหาใช่สิ่งอื่น และคืนนั้นผมเฝ้ารอ

เมื่อกลางคืนเดินทางมาถึง และความฝันได้เข้ามาทักทาย-ยามที่ผมนั้นหลับไหล
คืนนี้ทุกอย่างยังคงเงียบเหมือนเช่นคืนแรกที่สัมผัสมา และผมยังคงไม่คุ้นชินต่อความมืดที่แปลกแยกนี้ และทันทีที่ทุกอย่างเหมือนเดิมเท้าผมไม่อาจสัมผัสพื้นแม้ว่าจะรู้สึกเหมือนกำลังยืน ผมจึงมั่นใจได้ว่านี่ไม่ใช่เพียงแค่ความฝันที่ใครคนหนึ่งจะฝัน จากนั้นผมจึงรอ.. เพื่อฟัง.. พลันเสียงหนึ่งที่รอก็เอ่ยขึ้น ผมไม่ได้คลายกังวลอย่างเช่นคืนแรกที่เสียงนั้นดูสับสนปนเปและเอ่ยชัดเจนเพียงแค่เรียกชื่อผมในตอนท้าย แต่ผมกลับรู้สึกหวั่นไหวต่อครั้งนี้ที่เสียงนั้นชัดเจนทันทีที่เอ่ย อาจเป็นความกลัวที่จะรู้ความหมายของมัน และเพราะกลัวสิ่งที่จะตามมาหลังจากได้รู้ ชื่อของผมที่เธอเรียก ฟังดูห่วงใยเหมือนอยากรู้ว่าผมรู้สึกอย่างไร เป็นอย่างไรบ้าง เธอเรียกซ้ำๆวนไปมาแต่ละครั้งน้ำเสียงให้ความรู้สึกสงสัยว่าผมได้อยู่ตรงนั้นที่เธอเรียกหรือเปล่าหรือผมจะได้ยินหรือไม่.. หัวใจผมในตอนนั้นเหมือนถูกหลุมดำดูดลึกให้ร่วงหล่นฉับพลัน ความหวั่นไหวเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง เพียงแค่เสียงที่ล่องลอยจากหญิงสาวคนหนึ่งที่เรียกชื่อผมทำให้ผมรู้สึกตัวว่าตนมีหัวใจไว้ตอบสนองเหมือนพึ่งตระหนักได้เมื่อได้รู้สึกเจ็บปวดและเดียวดาย ใช่แล้ว ผมโดดเดียวเหลือเกิน มันอ้างว้างกับการอาศัยอยู่อย่างปราศจากการมีชีวิตมาเนิ่นนาน และไม่เคยรู้ตัวเพราะความชินชาที่ยาวนานนั้นมันนานมากเสียจนบางครั้งผมอาจหลงลืมชื่อของตนเองไป ทั้งหมดนี้เพียงเพราะมันนานมากแล้วที่เคยมีคนเรียกชื่อผม...

และเมื่อผมตื่น ทุกอย่างในวันนั้นเคลื่อนไหวไม่ปกติ หัวใจของผมก็เช่นกัน ผมยังคงทานและดื่มเช่นทุกครั้งเมื่อถึงเวลา ยังคงทำความสะอาดร่างกายทุกครั้งเมื่อต้องการ และยังคงนอนที่เตียงเดิมตรงนั้น ยังคงตะโกนเปล่งเสียงที่แหบพล่าเมื่อทุกอย่างอัดแน่นและเพื่อให้รู้ว่าเสียงนั้นยังใช้ได้ดี ยังคงเคลื่อนไหวร่างกายให้กล้ามเนื้อไม่ตายตัว ผมไม่รู้วัน.เดือน.ปี หรือเวลาที่แน่นอน เพราะที่นี่ ห้องนี้ที่ผมหายใจอยู่ไม่มีนาฬิกาหรือสิ่งบอกเวลาในปัจจุบัน แต่ด้วยความเคยชินทำให้ผมรับรู้ว่ามันคือช่วงไหนเมื่อเวลาอาหารเช้า กลางวัน และเย็นมาถึง อาหารเหล่านั้นจะถูกเตรียมเอาไว้ให้ผม จนถึงตอนนี้ทุกการกระทำและทุกอย่างที่ผมทำมันปราศจากความคิดว่าทำเพื่ออะไรมานานแล้ว ผมไม่รู้หรอกว่าผมหยุดคิดไปเมื่อไหร่ และเมื่อไหร่ที่เริ่มคิด แต่ตอนนี้หลังจากคืนนั้น ผมกลับมาคิดอีกครั้ง
  
และคืนนี้ผมเฝ้ารอ
เมื่อหลับไหลและถูกดึงเข้าสู่ความฝันอันดำมืดอีกครั้ง ผมเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับมันบ้างแล้วในตอนนี้ ทั้งความดำมืดที่แปลกแแยก ทั้งความล่องลอยที่ไม่อาจสัมผัสสิ่งใด แม้จะยังไหวหวั่นแต่ผมก็มีความตั้งใจบางอย่าง รู้สึกต้องการที่จะทำมัน และมันเป็นความต้องการแรกในรอบหลายปีมานี้ แม้ว่าผมจะไม่มั่นใจนักว่ามันกี่ปีมาแล้วก็ตาม .... ผมต้องการ ที่จะ.. พูด

เมื่อเสียงเธอเอ่ยขึ้น เรียกชื่อผม ผมตั้งใจฟัง ตั้งใจที่จะพิจารณาเสียงนั้น แม้ว่าผมจะพิจารณามาทั้งวันแล้วก็ตาม เธอเรียกด้วยความห่วงใย กังวลใจ สงสัย แต่ทำไมเธอถึงไม่พูดอะไรอย่างอื่น ทำไมถึงเรียกแค่ชื่อของผม และเมื่อผมตัดสินใจหลังจากสิ้นเสียงของเธอ ผมขานรับ

"ฉ.. ฉั .. ฉันอยู่นี่ .. ตรงนี้" ช่างน่าขำนัก นั่นเหรอคือเสียงของผม นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้พูดสิ่งใด เหมือนผมได้ยินใครที่ไม่รู้จักเอ่ยคำนั้นออกไปแทนผม จากนั้นแม้ว่าหัวใจผมจะว้าวุ่นที่ได้พูด ผมก็ตั้งใจรอที่จะฟังเสียงตอบกลับจากเธอ .. แต่มันเงียบ และเหมือนนานเหลือเกิน ก่อนที่ผมจะตัดสินใจเอ่ยสิ่งใดออกไปอีกครั้ง เธอก็ตอบกลับมา
"ฉันสามารถได้ยินเสียงของคุณ ตอนนี้ได้ยินเสียงของคุณแล้ว" เธอตอบกลับมา และมาพร้อมกับความกลัวมันกำลังทำให้ผมไม่มั่นคง ด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของเธอ มันไม่ใช่ห่วงใยหรือสงสัยแล้วว่าผมจะได้ยินหรือไม่ แต่มันเหมือนบางสิ่งที่จับเหยื่อได้ด้วยของหวานที่เตรียมมาให้เหยื่อได้ติดกับ และผมคือเหยื่อ เมื่อผมไม่เอ่ยสิ่งใดตอบกลับไปและพยายามคิดว่าควรหลุดพ้นจากตรงนี้ ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นใจ แต่แล้วเสียงของเธอก็เอ่ยขึ้น ผมไม่รู้ว่าเธออยู่ตรงไหนเพราะเสียงของเธออยู่ทุกที่
"คุณไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัวหรือกังวลสิ่งใดจากฉัน เพราะฉันไม่ได้ต้องการทำให้คุณกลัว แต่ฉันมาเพื่อต้องการให้คุณ ฟัง" เธอบอกผม ครั้งนี้น้ำเสียงเธอนุ่มลง แต่เย็นเยียบเข้าถึงหัวใจผม ผมไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกไป จึงเงียบ.. เธอก็เงียบ และผมก็แปลกใจในตัวเองว่าทำไมถึงรู้สึกน่าผิดหวังที่เธอเงียบ ผมเริ่มลนลานและพยายามออกเดิน ทุกอย่างมืดสนิท แต่ทันใดนั้นบางอย่างเคลื่อนไหวผ่านผม มันไม่ได้รวดเร็วแต่ผมไม่อาจมองเห็นมันเองเนื่องจากความมืดยังคงบดบังทุกสิ่งในที่นี้ อาจเป็นเธอหรือเปล่านะ ผมคิด จากนั้นผมจึงกลั้นใจและพูดอีกครั้ง
"ฉันได้ยินเสียงของเธอ หากเธอไม่ได้ต้องการทำอะไรที่เลวร้ายต่อฉัน ได้โปรดช่วยบอก ว่าเธอคือใคร และให้ฉันได้ยินเสียงของเธอทำไม" ช่างยากเย็นนักที่ผมพูดออกไป ทุกคำเหมือนการท่องจำมาพูดหรืออ่านจากคำที่จดใส่กระดาษเตรียมไว้. มีบางอย่างเคลื่อนไหวอีกครั้งและผมหันไป
"นั่นเธอเหรอ?" เสียงผมสั่นเครือ.
ตรงนั้นที่ผมจ้องมอง มีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวและแม้มันจะเป็นสีดำเหมือนกับทุกอย่างที่นี่แต่กลับสามารถมองเห็นได้แม้เลือนลาง มันเหมือนกับควันที่มีชีวิตม้วนหมุนวนไปมาเป็นเกลียวคลื่น บ้างขึ้นลงโค้งไปมา บ้างบิดเบี้ยว ผมจึงผงะและเริ่มถอยออกมา แต่เมื่อมองดูดีๆจะเห็นกลุ่มควันเหล่านั้นมันเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างและบางอย่างกำลังชัดเจน ส่วนต่างๆของคน เมื่อชัดเจนแล้วผมจึงเห็นว่ามันคือผู้หญิง เธอเหมือนกำเนิดมาจากกลุ่มควันเหล่านั้นแต่ก็ไม่ใช่ เหมือนควันเหล่านั้นโอบกอดเธอ เหมือนมันนำพาเธอมามากกว่า ผมมองเห็นเธอได้ไม่ชัดเจนนักในความมืดนี้แต่รู้ว่าเธอคือผู้หญิงคนนั้นที่เรียกชื่อผม เจ้าของเสียงในความฝัน เธออยู่ไม่ไกลแต่ก็เหมือนไกล ผมไม่อาจเห็นใบหน้าของเธอ เห็นเพียงรูปร่างที่ผอมบาง และผมที่ยาวมาก เธอดูตัวเล็กเหมือนเด็กบางทีเธออาจเป็นเด็กสาวที่อายุเพียงสิบกว่าปีก็เป็นได้ ผมพูดอะไรไม่ได้ในตอนนั้นเพราะเหมือนผมลืมวิธีของมันไปชั่วขณะ และในขณะเดียวกันนั้น เธอยกแขนขึ้นมาพร้อมทำภาษามือใน*วัฏจักกรารี-(**ภาษามือเชิงสัญลักษณ์ของผู้ที่อันเชิญหรือทำลายหรือแม้กระทั่งรักษา เป็นบางสิ่งบางอย่างขึ้นอยู่กับผู้นั้นจะบอกว่าคืออะไร ทำหน้าที่อะไร เพราะการทำสัญลักษณ์นี้ไม่ได้บอกว่าผู้ที่ทำเป็นอะไรหรือคือผู้ที่ทำหน้าที่อะไร) ผมไม่เคยเห็นภาษามือในรูปแบบนี้มานานมากแล้วนับตั้งแต่ที่ผมเหมือนเคยเห็นมันผ่านหนังสือเล่มหนาเก่าแก่จากใครสักคนที่ผมจำไม่ได้ และเพราะว่ามันเก่าแก่เกินกว่าที่โลกปัจจุบันนี้จะมีผู้ที่รู้จัก ผมจึงไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่เธอทำ เธอตวัดมือและแขน ลำตัวเคลื่อนไหวเล็กน้อยและนิ้วที่พริ้วไหวเห็นเพียงเงามืด ทุกอย่างเหมือนความมืดจากตัวเธอกำลังเคลื่อนไหว เต้นรำ อ่อนช้อยและน่ากลัวเพียงสั้นๆที่เธอตวัดมือทิ้งท้าย ก่อนจะเอ่ยขึ้น
.
ข้าหาใช่ความมืด หาใช่แสงสว่าง
แต่ข้าคือผู้ที่รักษาและทำลายทั้งสองสิ่ง
ข้ามาเพื่อตักตวงความมืด และปลดปล่อยแสงสว่าง
ข้า มาเพื่อปลดปล่อยเจ้า
..
ชั่วขณะหนึ่งผมเห็นดวงตาของเธอ มันชัดเจน และผมหยุดหายใจ ร่วงหล่นฉับพลัน
.
และเมื่อผมตื่น ทุกอย่างในวันนั้นเคลื่อนไหวไม่ปกติอย่างชัดเจน ทั้งตัวผมเองและสิ่งรอบตัว ผมหยุดทำกิจกรรมส่วนตัวทุกอย่าง แต่ยังคงดื่มและทานอาหาร วันนี้รอบตัวผมดูมืดสลัว หรือความมืดที่แปลกแยกนั่นจะติดตัวผมมาด้วยเมื่อตื่นขึ้น แต่ที่แน่นอนคือเสียงของเธอและคำพูดเหล่านั้น ภาพของเธอที่ติดตา ดวงตาของเธอที่อธิบายไม่ได้นั้นมันหลอกหลอนผม "ข้ามาเพื่อปลดปล่อยเจ้า" คำๆนี้ยังคงก้องอยู่ในหัวผมเหมือนเธอกำลังเอ่ยมัน ท่องมันให้ผมฟังอยู่ตลอด เป็นครั้งแรกที่ความกลัวทักทายผม หาใช่ความกลัวที่พบเจอได้ง่าย ผมคิดว่าแท้จริงมันคือความหวาดหวั่นและกังวลใจที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร และอะไรที่จะตามมา บางครั้งผมอยากเจอเธออีกแต่อีกด้านต่อต้านให้หนีเพราะสิ่งนี้อาจไม่ควรพบเจอ ผมครึ้มใจ หม่นหมองเหมือนห้องนี้ที่ดูมืดสลัวและหม่นหมองผิดปกติ เพราะปกติภายในห้องนี้จะดูสว่างเนื่องจากทุกอย่างในนี้คือสีขาวทั้งผนัง กำแพง และของตกแต่งซึ่งมีเพียงเตียงนอนที่ทำจากไม้ซึ่งผมไม่ทราบชนิดไม้ของมันแต่ยังคงทาสีขาวไว้ ห้องน้ำก็สีขาวเช่นกันและแน่นอนทุกอย่างในนั้นคือสีขาว เสื้อผ้าของผมก็มีสีขาว แต่บางครั้งก็มีสีเทา มันจะถูกส่งมาผ่านช่องรับอัตโนมัติที่ถูกทำขึ้นภายในห้องน้ำ ส่วนช่องรับอาหารจะอยู่ไกล้เตียงนอนของผม ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ผมรับรู้ เห็น หรือสัมผัส ไม่ให้ผมได้รับอะไรที่เกิดประโยชน์ต่อตน ทุกอย่างถูกจัดสรรมาเพื่อให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ไม่เคยต่อโอกาสให้ผมได้คิดหนี และวันนี้ผมยังรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายนอกห้องสี่เหลี่ยมนี้ กำแพงกระจกสองแผ่นสุดท้ายถูกยกขึ้นในเวลาหลังอาหารเย็นซึ่งไม่เคยมีการทำอย่างนั้นมานานมากแล้วและหากมีก็จะไม่ใช่ช่วงเวลาในตอนเย็นแบบนี้ ผมสงสัยและอารมณ์ผมขุ่นมัว ผมลุกขึ้นยืนและเดินไปกลางกำแพงกระจกแผ่นแรก จ้องมองมัน มันมีบางอย่างเคลื่อนไหว มีผู้คนที่ผมไม่อาจมองเห็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการให้ผมเห็น กระจกหนาพิเศษสิบห้าชั้นกั้นผมเอาไว้จากทางออก มันถูกสร้างแทนประตู ขนาดของมันเท่ากำแพงผนังห้องหนึ่งด้าน ซึ่งแน่นอนว่าผนังด้านหนึ่งของห้องนี้ที่ผมยืนจ้องมองมันอยู่คือกำแพงกระจกหนา แต่ละแผ่นมีระยะห่างคือหนึ่งเมตร มันใส สามารถมองเห็นได้ทุกอย่างหากถูกกั้นกลางเพียงกระจกแผ่นเดียว แต่ผมกำลังจ้องมองผ่านกระจกสิบห้าแผ่นที่ซ้อนกันไว้มันจึงทำให้ผมมองเห็นได้ไม่ชัดเจนว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นหลังกำแพงกระจกแผ่นสุดท้าย ทั้งหมดนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ผมสามารถหนีออกไปได้ กระจกจะถูกเปิดก็ต่อเมื่อห้องควบคุมด้านบนอนุมัติและกระจกจะถูกเลื่อนขึ้นสู่ด้านบน มันก็เหมือนใบมีดสังหารอย่างหนึ่งหากผมคิดหนีตอนมันเปิด มันอาจถูกสั่งให้ดึงลงมาและร่วงลงตรงตำแหน่งของผม อาจจะผ่ากลางลำตัวไม่ก็กลางศรีษะ ผมยังไม่เคยลองเพราะไม่มีโอกาสที่กำแพงกระจกเหล่านั้นจะถูกยกขึ้นทั้งหมดพร้อมกัน และมันก็ไม่ได้ถูกยกขึ้นมานานมากแล้ว ยกเว้นสองสามกำแพงสุดท้ายที่จะมีการยกเพื่อเช็คระบบต่างๆและอื่นๆที่ผมไม่ค่อยสนใจนัก แต่วันนี้มีการยกกำแพงกระจกสองแผ่นสุดท้ายขึ้น ผมเห็นเพียงผู้คนในชุดคลุมสีขาวไม่กี่คน ไม่อาจเห็นใบหน้าแต่คงเป็นกลุ่มคนที่ดูแลที่นี่ ในตอนนั้นความรู้สึกโมโหกำลังแล่นผ่านเส้นเลือดของผม ความกระหายอยากจะพังกำแพงงี่เง่านี้เพื่อวิ่งไปกระชากคอหอยใครสักคนตรงนั้นกำลังทำให้ผมเดือดดาล เป็นความรู้สึกโกรธที่เห็นคนเหล่านี้โดยควบคุมไม่ได้... พลันหูของผมก็ได้ยินเสียงของเธอ อีกครั้ง เธอเรียกชื่อของผมและผมสะดุ้ง เพราะนี่ไม่ใช่ความฝันและผมกำลังตื่นอยู่ หรือว่าผมกำลังมีอาการประสาทหลอน ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงอาการทางจิตใจที่แย่ลงของผมหรือผมอาจฟุ้งซ่านซึ่งนั่นหมายถึงความฝันก็อาจไม่ใช่เรื่องที่สำคัญแต่อาจเป็นเพียงอาการทางประสาทของผม เสียงของเธอยังคงเรียกชื่อผม ผมยกมือปิดหูและกระโดดขึ้นเตียง ผมนอนโดยที่มือยังปิดหู เธอเงียบเสียงแล้วผมจึงสงบลง. จากนั้นผมลองพูดในใจ "อย่ามายุ่งกับฉัน นี่ไม่ใช่ความฝัน" ไม่มีเสียงเธอตอบรับ... .  "คุณต้องใจเย็นต่อสิ่งรอบตัว" ผมลุกขึ้นนั่งทันทีที่เสียงเธอตอบรับ ผมตะโกนออกไปสุดเสียงที่แหบพร่าของผม มีอาการตัวสั่นและเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมกำลังโกรธโดยไม่มีสาเหตุ อาจจะโกรธเธอที่กวนใจผม ชั่วขณะหนึ่งผมอยากกลับไปหาเธอในความฝันแล้วบีบคอเธอซะ
"ทำไมคุณต้องโกรธ ฉันขอให้คุณสงบใจ เพียงเพราะไม่อยากให้คุณดุร้ายต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า"
"ทำไมล่ะ แล้วเธอจะมายุ่งกับฉันทำไม" ผมถามเธอในใจ
"เพราะว่าคุณคือคนหาใช่สัตว์" ผมทวนคำพูดนี้ของเธอเงียบๆ
"ทำไมเธอถึงคุยกับฉัน ฉันถามเธอแล้วว่าเธอคือใคร ต้องการอะไร" ผมหวังว่าเธอจะตอบในทันที แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับจากเธอ ผมเงียบ และรอ...

แต่ก็ไม่มีการตอบกลับจากเธอ เป็นเวลานานนับชั่วโมงจากที่ได้ยินเสียงของเธอ
กำแพงกระจกยังคงถูกดึงขึ้นสองแผ่นสุดท้าย แน่นอนว่ามันผิดปกติมากและมันกวนใจผม ผมลุกขึ้นยืนและเดินไปจ้องมองมัน พยายามหาสิ่งที่ผิดปกติเพิ่ม ผมเดินวนไปมาและหันมาจ้องมองมันตรงๆอีก ทำแบบนี้อยู่อย่างนั้นภายในหัวใจก็ว้าวุ่นไม่แพ้กัน มันคืออะไรที่จะเกิดขึ้นจากนี้ มันมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป ผมมองไม่เห็นใครแล้วเพราะภายนอกแสงไฟจากทุกจุดจะถูกปิดหลังอาหารเย็นประมาณหนึ่งหรือสองชั่วโมงที่ผมคิดเอง แต่ภายในห้องของผมยังคงมีแสงไฟเป็นสิ่งเดียวที่ผมสามารถกำหนดมันได้ว่าจะปิดหรือเปิดเองตอนไหน ผมนั่งลงบนเตียงสองมือกุมกันไว้และนิ่งเพื่อฟัง เผื่อจะมีการตอบรับจากเธออีกครั้งแต่ก็ไม่มีเสียงใดจากเธอ อาจจะได้พบเจออีกครั้งในความฝันของคืนนี้ก็เป็นไปได้ แต่หัวใจผมยังไม่พร้อมที่จะนอนหรือหลับ สมองผมยังคงตื่นจากสิ่งที่ผิดปกติเหล่านี้ ความกังวลใจยังคงปลุกผมอยู่ตลอดเวลา

แต่ในท้ายที่สุดความต้องการอยากเจอเธอในความฝันมันก็มีมากกว่าการรอให้อะไรเกิดขึ้นยามตื่น ผมเดินไปปิดไฟและเดินกลับมาขึ้นเตียง ผมนอนนิ่งๆเพื่อที่จะได้หลับ

ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ผมไม่อาจหลับลง ทั้งที่ความง่วงเริ่มครอบงำผม แต่ผมยังคงตื่นพร้อมกับความรู้สึกกังวลในใจ ในห้องสี่เหลี่ยมของผมยังคงเงียบสนิท ยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ผมต้องการที่จะหลับเพราะคิดว่าน่าจะเลยเวลาที่จะต้องฝันแล้วแต่ตาของผมก็ยังคงเปิดกว้าง ...

เสียง มีเสียงบางอย่าง ผมรีบดีดตัวเองลุกขึ้นนั่งเพื่อฟังและมองรอบตัว
มีเสียงบางอย่างหลังกำแพงกระจก มาจากแผ่นที่เท่าไหร่ของกำแพงผมไม่อาจเดา บางอย่างกำลังมา.. ด้วยความมืดที่มีผมไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดที่ไกลตัวและยังมีกระจกกั้นกลาง แม้ว่ามันจะเป็นกระจกใสหากแต่มีหลายชั้นก็ทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน ผมตั้งใจจะไปเปิดไฟให้เร็ว แต่อีกใจก็อยากรับรู้อยู่เงียบๆอย่างนี้ กระจก.. กำแพงกระจกกำลังถูกเปิด ผมมั่นใจเพราะเสียงมันเข้ามาไกล้ ผมตัดสินใจลุกไปเปิดไฟ แต่ไฟกลับเปิดไม่ติด ผมกดเปิดเท่าไหร่แต่ไฟก็ไม่ติด นี่แหละคือสิ่งที่ผมคิด ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปตั้งแต่เริ่มมีความฝันนั่น และบางอย่างกำลังมา มันมาหาผม มันคืออะไร

ผมค่อยๆเดินไปที่กำแพงกระจก จ้องมองสิ่งที่กำลังมา เข้ามาไกล้กว่านี้สิผมท้ามันในใจ ความเดือดดาลเริ่มแล่นผ่านเลือดในกายผม ความโมโหต่อสิ่งที่รบกวนผม มันกำลังเข้ามาหาผมแล้ว ผมจะได้รู้สักทีว่ามันคืออะไร และผมก็มั่นใจได้ว่าจะจัดการมันได้เหมือนที่เคยทำยามที่มีสิ่งมารบกวนผม มันมักถูกส่งมานานๆครั้ง และผมก็กำจัดมันได้ในทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิมที่เคยเกิดขึ้น มันนานมากแล้วจากครั้งสุดท้ายที่ผมถูกรบกวน มากกว่าหนึ่งปีแน่นอนผมมั่นใจ พวกมันเป็นสิ่งที่พยายามทำให้ผมมีชีวิตที่สั้นลงกว่าเดิม พวกมันพยายามทำให้ผม...พูด. เสียงจากกำแพงกระจกเปิดขึ้นจริงๆ ทีละแผ่นไล่มาทีละชั้น ตอนนี้น่าจะอยู่กำแพงที่เจ็ดหรือแปด. ยังคงมองไม่เห็นสิ่งใดจากจุดที่ผมยืนอยู่ ผมเดินเข้าไปไกล้กำแพงกระจกอีกเล็กน้อยแล้วรอคอยมัน เสียงกำแพงกระจกยังคงถูกเปิดดึงขึ้น มันช้ามากๆผมคิด ทันใดนั้นทุกอย่างเงียบ ไม่มีเสียงถูกเลื่อนขึ้นจากกำแพงกระจก และเงียบกว่าเดิมเมื่อความมืดที่แปลกแยกเข้ามาปกคลุม ผมหันมองรอบตัวเพื่อปรับสายตา จากความมืดที่ธรรมดาก่อนหน้าสายตายังปรับให้ชินได้ แต่ความมืดนี้มันไม่ใช่ ผมเริ่มหวาดกลัว กระดูกสันหลังเริ่มเกร็งและอ่อนไหว นี่มันอะไรกันผมคิด นี่มันไม่ใช่ความฝันเพราะผมตื่นอยู่ พลันกำแพงกระจกที่เหลืออยู่ซึ่งไม่มันใจว่าเหลือกี่ชั้นถูกเลื่อนขึ้นพร้อมกันเท่าที่ฟังจากเสียง คงเหลือไว้กำแพงกระจกแผ่นสุดท้ายที่กั้นห้องสี่เหลี่ยมของผม เหงื่อผมเริ่มผุดขึ้นมาตามรูขุมขน หัวใจผมเต้นดังก้องจนหูของผมแทบไม่สามารถได้ยินเสียงอื่น ร่างกายผมเริ่มสั่นเกร็ง ความเดือดดาลก่อนหน้าหายไป ความโมโหของผมก็หายไปเช่นกัน ผมรวบรวมแรงกล้ายกมือขึ้นเอื้อมไปสัมผัสกระจกช้าๆ มันเย็นบาดผิวอย่างมาก ผมมองไม่เห็นสิ่งใดและเริ่มยอมรับแล้วว่าสิ่งนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน ความดำมืดจากความฝันที่แปลกประหลาดได้ตามมาหลอกหลอนผมในความจริงยามที่ตื่น นี่อาจเป็นเหตุผลที่ผมไม่สามารถนอนหลับ เพราะมันมาหาผมได้แล้วยามที่ตื่น ผมเอาหน้าเข้าไปแนบกับกำแพงกระจกให้ไกล้ชิดที่สุดเพื่อให้สายตามองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ยังคงมีแต่ความมืดแปลกแยกเท่านั้นที่ผมเห็น.. แต่นั่น นั่นมันอะไร บางสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้น..

มันคือควัน กลุ่มควันที่ผมเห็นในฝันจากเมื่อคืนนี้ ผมผงะถอยหลังออกมาจากกำแพงกระจกทันที แม้มันจะเป็นสีดำมืดเช่นเดียวกับความมืดรอบตัวแต่มันยังคงสามารถมองเห็นได้แม้เลือนลาง ผมกลั้นหายใจโดยที่ไม่รู้ตัว กลุ่มควันยังคงบิดเบี้ยวโค้งไปมาเป็นเกลียวก่อนจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นรูปร่างของคน ผมนึกถึงเธอที่จะปรากฏตัวออกมาจากควันเหล่านั้น .. แต่ไม่ใช่ กลุ่มควันกลับค่อยๆสลายหายไปซะอย่างนั้น เหลือเพียงเลือนลางให้ผมยืนจ้องมองมันอย่างเคว้งคว้าง จากนั้นผมได้ยินเสียงคนเดิน มันเบามากแต่ยังคงได้ยิน มันอยู่หลังกำแพงกระจกของผม มันกำลังตรงมาที่ผม เสียงฝีเท้าที่เดินอย่างช้าๆกำลังเข้ามาไกล้ผม และผมก็รอที่จะเจอมันแม้จะหวาดหวั่นใจก็ตาม บางอย่างเริ่มชัดเจนขึ้นในความมืด บางสิ่งปรากฏตัวต่อหน้าผม สิ้นเสียงฝีเท้าสุดท้าย เธอก็มาหยุดยืนตรงหน้าผม และผมมั่นใจเหลือเกินว่าคือเธอ หญิงสาวในความฝัน เธอสวมชุดคลุมสีดำมีหมวกฮู้ดคลุมศรีษะของเธอ ใบหน้าเธอถูกอาบไปด้วยสีดำจากความมืดที่แปลกแยก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นทันทีที่เธอยกมือขึ้นเพื่อดึงหมวกฮู้ดจากศรีษะลงไปด้านหลัง ท่าทางของเธอที่เคลื่อนไหวเหมือนงานศิลป์อย่างหนึ่งที่ทำให้ผมหยุดนิ่งเพียงเพื่อจะดู และผมก็ได้เห็นแม้ทุกอย่างจะดำมืดแต่ผมกลับสามารถมองเห็นเธอแม้จะไม่ชัดเจนมากแต่ก็ชัดเจนมากกว่าในความฝัน เธอมองหน้าผม ใบหน้าเธอแปลก ดวงตาของเธอเหมือนอย่างในความฝัน ผมของเธอถูกซ่อนอยู่ในชุดคลุม เธอเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆที่ดูบอบบางมากๆ ดูอิดโรยและอ่อนแอแต่ก็มีความดุร้ายอยู่ในนั้นที่ผมรู้สึกได้ เธออ้าปากพึมพัมช้าๆในสิ่งที่ผมไม่ได้ยิน และร่างกายผมก็หยุดชะงักทันทีและเหมือนลืมหายใจเมื่อเธอยกมือขึ้นทำภาษามือแต่เป็นภาษามือจากที่ที่ผมจากมาจากที่ที่ผมเคยอยู่เมื่อนานมาแล้ว มันคือความลับแค่คนของเราแค่ที่ที่ผมจากมาเท่านั้นถึงจะรู้แต่เธอกลับทำได้และคล่องแคล่ว ภาษามือที่เธอใช้ความหมายแรกคือ สวัสดี และเหมือนผมพึ่งได้สติกลับมาหายใจอีกครั้งจึงวิ่งถลาเข้าไปหาเธอหมายจะจับต้องให้รู้ว่านี่คือสิ่งที่เป็นจริงและอยากทำลายให้เธอหายไปแต่อีกใจผมแค่อยากวิ่งเข้าไปหาโดยที่ไม่รู้ว่าจริงๆทำเพื่ออะไรกันแน่ เมื่อยิ่งไกล้แล้วจึงเห็นว่าเธอเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาที่ไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไปที่มีชีวิตอย่างเรา บางทีเธออาจตายไปแล้วแล้วใครสักคนไปเรียกเธอมาคุยกับผมก็เป็นได้ เธอยิ้มให้ผม สองมือผมทุบกำแพงแล้ววางทาบไว้แบบนั้นผมย่อตัวลงจ้องหน้าเธอ เธอไม่ไหวติงต่อสิ่งใดที่ผมแสดงออก อาจเพราะมั่นใจว่าผมไม่อาจทลายกำแพงไปหาเธอ ทั้งที่ผมเคยทำได้มาแล้ว หรือเพราะเธออาจรู้ว่าผมเคยทำมันได้แล้ว แล้วจึงมีการปรับกระจกใหม่ให้หนาเป็นพิเศษเกินกำลังที่ผมสามารถจะทำลายได้ เธอใช้ภาษามืออีกครั้ง คราวนี้เธอบอกไม่ต้องกลัว เธอมาเพื่อดูว่าผมโอเคดีหรือไม่ และผมดูเป็นอย่างไรในโลกความจริง ผมไม่สามารถตอบโต้เธอได้ ได้แต่กระสับกระส่ายไปมาเหมือนคนบ้า ผมต้องการสื่อสารกับเธอ และมากกว่านั้นที่อยากทำ ปากผมอ้าและเสียงบางอย่างที่พิลึกก็พรั่งพรูออกมา ผมทำได้แค่นั้นเพราะรู้ว่าไม่อาจพูดสิ่งใดได้ในความจริง เธอยังคงจ้องหน้าผมไม่ไหวติงต่อสิ่งใด เธอหายใจอยู่หรือเปล่านะ ผมมั่นใจอย่างหนึ่งแล้วว่าเธอคงเป็นคนเอเชียแม้โครงหน้าจะคมคายแต่บางอย่างบอกผมอย่างนั้น ผมลองเรียกเธอในใจแต่เธอก็ไม่ตอบกลับ ทั้งต่อหน้าและในใจ. จากนั้นเธอพยักหน้าให้ผมช้าๆ ก่อนจะค่อยๆถอยหลังเล็กน้อย ผมรู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังจะไปแล้ว จึงร้องเรียกเธอในใจ ตะโกนสุดเสียงจนปากผมต้องอ้าและเบ่งเสียงแปลกประหลาดออกมา ปากเธอก็ขยับเช่นกัน แม้ไม่ชัดเจนมากแต่ก็อ่านใจความได้ว่า ฉันมาเพื่อปลดปล่อยคุณ ก่อนจะก้มหน้าเล็กน้อยให้ และหันหลังให้ผม เธอดึงหมวกฮู๊ดคลุมศรีษะแล้วเดินหายไปในความมืดช้าๆเหมือนไร้เรี่ยวแรง กำแพงกระจกถูกดึงลงมาตามหลังเธอทีละชั้น แล้วเธอก็หายไปในความมืดที่แปลกแยกนั่น ทุกอย่างในตัวผมกำลังพังครืนโดยไม่มีสาเหตุ ท้ายที่สุดผมตะโกนก้องสุดเสียงใส่กำแพงกระจกก่อนจะทุบมันจนสุดชีวิต แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น รอบตัวผมกำลังกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ความมืดที่แปลกแยกได้หายไปแล้ว มันหายไปพร้อมกับเธอ มันคงเป็นส่วนหนึ่งของเธอสินะ ผมนั่งทรุดลงอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ จากนั้นผมหลับไหล... และไม่มีความฝันใดในคืนนั้นมาทักทายผม
 ..
 ..
ผมตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าตนนอนอยู่บนพื้นกลางห้อง
แน่นอนว่าผมจดจำทุกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้ จำเธอได้. ยังไม่ถึงเวลาอาหารเช้าอีกเหรอ ผมคงไม่ได้นอนเลยเวลาอาหารเช้าเพราะว่าผมเป็นคนตื่นเร็วแม้จะไม่ได้นอนก็ตาม ผมลุกขึ้นนั่งและเวียนหัว พยายามลุกขึ้นเพื่อเดินไปที่กำแพงกระจก ทุกอย่างปกติเหมือนเดิม กำแพงสิบห้าชั้นเลื่อนลงมาครบหมดแล้ว ความสว่างปกคลุมที่นี่เหมือนเช่นแต่ก่อนหน้านั้น ผมยืนตรงที่ผมเจอเธอเมื่อคืน ตรงที่เธอยืนหลังกำแพงกระจก ผมจ้องมองและพิจารณา จากนั้นเสียงสัญญาณบ่งบอกว่าอาหารเช้ามาแล้วก็ดังขึ้น ผมถอยหลังออกมาจากกำแพงกระจกแล้วไปรับอาหารเช้าจากช่องรับอัตโนมัติไกล้เตียงนอน ผมทานมันจนหมดแค่เพียงไม่กี่นาที ผมนำถาดอาหารใส่คืนช่องรับอัตโนมัติไป จากนั้นผมก็ไปทำความสะอาดร่างกาย ทุกอย่างยังคงดำเนินไป แม้ในใจของผมจะไม่ทำสิ่งใดเลยนอกจากคิดทุกอย่างเกี่ยวกับเธอ หาคำตอบไม่ได้และไม่มีเหตุผลเกี่ยวกับเธอ ผมคิด ผมนึก ผมฟัง และรอ ทุกๆๆอย่างซ้ำไปมาอยู่อย่างนั้น จนผมออกจากห้องน้ำหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ ผมจึงได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายนอกห้องสีเหลี่ยมของผม เสียงกำแพงกระจกถูกดึงขึ้นอีกครั้ง ผมรีบวิ่งไปที่กำแพงกระจกห้องของผมเพื่อจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นและเฝ้ารอสิ่งที่กำลังจะเกิด กำแพงกระจกถูกดึงเลื่อนขึ้นทีละชั้นจากที่ผมมองตอนนี้คือประมาณชั้นที่สิบหรือเก้า คราวนี้จะเป็นอะไรอีก ผมควรต้องทำยังไงต่อสิ่งนี้ดี คิดอย่างนั้นผมก็เดินไปรอคอยมันตรงจุดที่ยืนเมื่อคืนนี้ ตอนนี้เป็นเวลาสายประมาณเก้าหรือสิบโมงผมค่อนข้างมั่นใจ ทุกอย่างยังคงสว่างและไม่มีความมืดที่แปลกแยกนั่น มันหมายถึงคงไม่ใช่เธอที่กำลังมาสินะ ผมถอนหายใจ และความโกรธกำลังพลุ่งพล่านอีกครั้ง. เมื่อกำแพงกระจกถูกเลื่อนขึ้นจนถึงแผ่นที่สิบสี่เหลือไว้เพียงกำแพงกระจกแผ่นสุดท้ายที่กั้นห้องของผม ผมยืนอยู่อย่างนั้นรอคอยมัน ... แต่มันก็ไม่มีสิ่งใดมา ผมคิดเงียบๆว่าทำทุกอย่างให้นิ่งจะดีกว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่กำลังมาหากมันมาไกล้ผมจะต้องรู้ จากนั้นผมก็ถอยออกมา และหาน้ำดื่ม นั่งที่เตียง เข้าห้องน้ำ และมานั่งที่เตียง มองมัน แล้วผมก็นอนรอมัน ฟังทุกเสียงและนึกถึงเธอ คิดเกี่ยวกับเธอ เรียกเธอในใจ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา...

"สวัสดี.."
ผมสะดุ้งและลุกขึ้นนั่งทันที เสียงนั้นมัน..
"สวัสดี ขอโทษนะที่ตอบกลับช้า พอดีว่าฉันไม่ค่อยแข็งแรงนักที่จะทำอย่างนั้นบ่อยๆน่ะ อืมมม.. อาหารเช้าอร่อยดีมั้ย?"

นั่นเธอ ตัวเป็นๆที่ยืนอยู่ตรงนี้ เธอยืนอยู่หน้ากำแพงกระจกที่ปิดอยู่ ยืนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมของผม กับผม เธอเข้ามาได้ยังไงโดยที่ผมไม่รู้ตัวแต่มัน..มันไม่ใช่ เหมือนไม่ใช่เธอในความฝัน แต่มันก็ใช่เธออยู่ดี ผมนั่งนิ่งด้วยความตกใจและมึนงงกับการปรากฏตัวของเธอ เธอที่ยืนอยู่ตรงนี้คือคนเดียวกันในความฝันของผม คือคนเดียวกันจากเมื่อคืนนี้ที่มาหาผมอย่างจริงจัง แต่เธอคนนี้ที่ยืนอยู่ตรงนี้กลับไม่ได้ดูลึกลับอะไร และเธอไม่ได้พาความมืดมาปกคลุมที่นี่ เธอยืนอยู่อย่างคนปกติแบบเรา เป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่ผอมแห้งดูอ่อนแอและอิดโรย ใบหน้าเธอซูบซีด และมีรอยข่วนถลอกที่ตาซ้าย รอยนั้นมันยังดูใหม่ เธอแต่งตัวธรรมดาๆด้วยกางเกงยีนส์สีดำ เสื้อยืดรัดรูปสีดำกับรองเท้าผ้าใบสีเทาและเธอมีผมสีดำที่ยาวมาก ผมมองดูเธออยู่อย่างนั้น และในความธรรมดานั้นมีบางอย่างที่ทำให้ผมกับความกลัวที่หวาดหวั่นเริ่มทักทายกันแต่มันไม่มีทางชนะผมหรอก ผมกลั้นใจและลุกขึ้นตะโกนสุดเสียงที่แหบพล่าใส่เธอ พยายามทำให้น่ากลัวที่สุด ผมตะโกนแล้วก็โมโหตัวเองที่ยังเห็นเธอจ้องหน้าผมด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย แม้ในระยะประชิดที่ผมกำลังจะเอื้อมมือไปแตะที่คอเธอ

"คุณ..อยากทำอย่างนั้นจริงๆเหรอ?" เธอถามน้ำเสียงราบเรียบ เอียงคอสงสัย ผมหยุดชะงัก และมองเธอตรงๆใหม่อีกครั้ง ในความธรรมดานี้มีบางอย่างที่ไม่ธรรมดา ก็แน่ล่ะในเมื่อเธอคือทั้งสองสาวในเรื่องหลอนที่ผมเจอมาทั้งในความฝันทั้งเรื่องจริงเมื่อคืนนี้ และตอนนี้ตอนกลางวันที่ยังมีแสงเธอก็มาหลอกหลอนผมอีก ผมควรจะบีบคอเธอซะ แต่บางอย่างของผมกลับหมดแรงและไม่กล้าที่จะทำ เธอดู. ..น่าสงสารทั้งที่มีแววดุร้าย ความอ่อนแอนั่นมันเหมือนเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึก. .. แย่
..
 ..
พลันมือของเธอก็ยื่นมาหา ผมถอยหนีแต่เธอยังตามมา เดินมาไกล้ผมและยื่นมือมาจับแขนผม เท่านั้นเอง.. สัมผัสแรกที่ผมได้รับ มันช่างบีบคั้นหัวใจผม ด้านหนึ่งของผมต้องการหนีแต่อีกด้านกลับบอกว่าให้ยอมแพ้ซะ ไม่อยากนั้นนายต้องกำจัดผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้ เธอเลื่อนมือจากแขนผมไปที่มือของผม แล้วจับมือของผมไปไว้ที่คอเล็กๆของเธอ ความรู้สึกที่ได้สัมผัสเนื้อหนังของเธอมันช่างดี แม้ผมจะตั้งใจแสดงสีหน้าที่รังเกียจใส่เธอก็ตาม คอเธอมันเล็กมาก. เธอถามผม
"คุณอยากบีบคอฉันสินะ.. จะลองทำดูหน่อยก็ได้นะ แต่ถ้าฉันไกล้ตายแล้ว ในช่วงกำลังจะขาดใจอย่าลืมหยุดนะ" เธอยิ้มให้ผม แล้วผมก็บีบคอเธอ ..

แต่แล้วก็คลายมือออก ผมดึงมือออกมาจากคอเล็กๆของเธอแม้ว่าจะไม่อยากละจากเนื้อหนังของเธอก็ตาม ผมไม่อาจโต้ตอบเธอได้ ผมรู้แล้วว่าเธอมาเพื่อสิ่งนี้ เธอมาเพื่อให้ผมพูดนั่นเอง...
..............................................................................................................................
.......
บทที่ 2 , 3 (จบ) : ลิ้งค์อยู่ด้านบนซ้ายมือ
...................................................................................................................
 ©salinsiree
...
If you have any questions, or would like to talk, contact me!

salinsiree.witchy@yahoo.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น