(เรื่องสั้น) too little, too late // ep.2 (mission of sily ภารกิจของไซลี่)

คลิก from บทที่ 1 : she's in my dreams
....................................................
คลิก from บทที่ 3 : too late (จบ the end)
 ....................................................
บทที่ 2
too little
...
..
"เอาล่ะ คุณไม่ต้องกังวลไปนะ ฉันไม่บังคับคุณหรอกว่าจะพูดหรือไม่พูด แต่เรามานั่งฟัง.. ฉันคุยคนเดียวกันดีกว่า คุณคงไม่ทำร้ายฉันแล้วล่ะนะ เอาเป็นว่าอืมมม.." เธอเอามือเกาคอตัวเองแล้วชี้มาที่เตียงของผม "ฉันขอนั่งบนเตียงของคุณนะ" เธอขอผม ผมถอยห่างจากเธอไปเกือบติดประตูห้องน้ำ นั่นคงหมายถึงผมอนุญาตในความคิดของเธอ เธอนั่งลงบนเตียงของผมทันที และผมขอยืนอยู่ตรงนี้เพื่อหยั่งเชิงจะดีกว่าการทำอะไรตามอารมณ์ เธอนั่งนิ่งเรียบร้อยดูเป็นเด็กน้อยที่ไม่มีอันตราย แต่ดวงตาคู่นั้นของเธอช่างอันตรายถ้านับจากที่ผมเคยพบเจออันตรายมามาก ดวงตาคู่นั้นบ่งบอกถึงบางอย่างที่ผมไม่ต้องการจึงไม่มองมันบ่อยนัก แต่ก็อดไม่ได้ในบางครั้ง เสียงของเธอ สำเนียงที่พูดออกมาเป็นภาษาของเราฟังดูชัดเจน คล่องแคล่วเหมือนไม่ใช่เด็กสาวธรรมดาจากคนภายนอกทั่วไป เธออาจเป็นใครสักคนที่มีค่าหรือสำคัญพอที่จะทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จสินะ. เธอมองหน้าผมตรงๆ ชั่วขณะหนึ่งเธอหลุบตาลงต่ำ ครู่เดียวก็เธอเงยหน้าขึ้นมาจากนั้นถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้น "มาฟังนิทานกันนะ" และใจผมเริ่มเต้นเร็ว..

"กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีชายคนหนึ่งเขาเติบโตอยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลออกไป มันเป็นที่ที่เข้มงวดและกดดัน แต่กลับกันที่นั่นก็คือบ้าน เป็นความอบอุ่นที่หาที่ไหนไม่ได้สำหรับเขา เขามีผู้คนอันเป็นที่รักแม้ว่ารักของเขาจะแสดงออกผ่านหน้าที่และความรับผิดชอบก็ตาม มันจึงทำให้ผู้คนรอบข้างไม่เข้าใจในรักของเขา ตอนยังเด็กเขาถูกสอนให้เป็นผู้ใหญ่ที่มองความผิดพลาดเป็นเรื่องร้าย และเขามีเพื่อนชายคนหนึ่งที่ชอบทำแต่ความผิดพลาดจนเขามองว่าเพื่อนคนนี้เลวร้ายจึงไม่อยากเล่นด้วย ไม่ต้องการคบหา แต่เพื่อนชายคนนั้นกลับคิดอีกแบบ เขาคิดว่าเด็กชายต้องการเพื่อนจะได้ไม่เหงา จะได้ไม่ต้องทำอะไรคนเดียว จะได้หัวเราะบ้าง จะได้ดื้อตามประสาและเล่นอะไรที่สนุกหากมีตนอยู่ด้วย เพื่อนชายพยายามทำอะไรที่ตลกและแหกกฏข้อบังคับเพื่อให้ดูสนุกสนานและท้าทายบ่อยครั้ง มันทำให้เด็กชายไม่พอใจเขาจนวันหนึ่งเขาต้องตะโกนก้องด้วยความไม่พอใจใส่เพื่อนชายท่ามกลางคนมากมายที่ห้อมล้อม เพื่อนชายตกใจ และเหมือนถูกกลบความคิดใหม่จนหมด จากนั้นเพื่อนชายก็ได้หายไปจากชีวิตประจำวันของเด็กชาย และเด็กชายก็เริ่มว้าเหว่และเดียวดาย เขานึกถึงเพื่อนชายอยู่บ่อยครั้งแต่ไม่ยอมรับ เมื่อเขาเดียวดายจนคล้ายแสนเหงา เขาจะคิดแค่เพียงว่ายังทำสิ่งที่ต้องทำและยังฝึกสิ่งที่ต้องฝึกฝนไม่ดีพอ เขาทุ่มเทต่อหน้าที่เพื่อทดแทนความเหงา จนเมื่อเขาเติบโตเขาถูกสอนให้มองทุกวันเป็นวันสุดท้ายและทุกนาทีสำคัญเสมอ มันทำให้เขาไม่อาจละเลยต่อสิ่งใดเพื่อใส่ใจอย่างอื่น ความสามารถที่เขามีทำให้ผู้คนของเขาชื่นชมและยอมรับจากใจ แต่ไม่อาจให้ใจเขาเพราะเขาไม่รู้จักที่จะรักษาหัวใจ แม้ว่าเขาจะมีน้ำใจแต่ไม่อาจรักษาน้ำใจจากใครได้นาน เขามีกฏในใจเสมอและไม่เคยทรยศต่อมันเลย คนของเขามักจะทักด้วยความห่วงใย แต่เขามองว่ามันคือการละเลยหากจะปล่อยกายให้นิ่งเพียงชั่วเวลาหนึ่ง จะด้วยหน้าที่ที่ถูกอบรมสั่งสอนมาให้เข้มงวดต่อทุกสิ่งและจริงจังต่อทุกอย่าง หรือจะด้วยภาระที่จำเป็นต่อเขาก็แล้วแต่ เขาก็ตั้งใจและรักมัน รักสิ่งที่ทำราวกับว่าโลกใบนี้ถูกแบ่งออกเพียงทำได้และไม่ได้ ทำดีและไม่ดี เขาคิดอยู่เพียงสองสิ่งชีวิตจึงไม่ตอบรับความสุข สนุกจากเรื่องอื่นๆ การทุ่มเทเหล่านั้นทั้งหมดเพียงเพราะเขาคือผู้ที่ถูกมอบหมายภาระและหน้าที่ให้ดูแลบางสิ่งที่สถานที่แห่งนั้นหวงแหนและปกป้องมาเนิ่นนาน จนวันหนึ่งที่เขาเริ่มมีความรักและไม่อาจรู้จักว่านั่นคือรัก เขาจึงไม่เข้าใจในความต้องการของตนเองที่อยากได้มาซึ่งการอยู่เคียงข้างจากคนที่ตกหลุมรัก เขาพยายามเลือกสิ่งที่ดีให้เธอ หน้าที่ที่ดี กฎเกณฑ์ที่ดีและทุกอย่างที่เขามองว่าดีให้กับเธอ และมันตรงกันข้ามกับเธอที่รู้สึกถูกเขากดดัน และพยายามบังคับให้เธอทำในสิ่งที่เข้มงวดเกินไป อะไรที่ดีเหล่านั้นเธอมองว่ามันคือความแข็งตึง เธออธิบายกับเขาแต่เขากับมองว่าเธอคือคนที่ไม่ดีในฉับพลัน แต่ด้วยความต้องการที่มีต่อเธอเขาจึงพยายามสอนและอบรมเธอ แต่เธอไม่ฟังและออกห่างจากเขา เขารู้สึกเศร้าหมองและพยายามเข้าหาเธอ เมื่อไม่ได้ผลเขาจึงรู้สึกสิ้นหวังและท้อใจ เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เป็นว่าทำไมเธอไม่ต้องการเขา เขาดีทุกเรื่องและเก่งในทุกอย่าง แต่ความท้อใจสิ้นหวังก็ไม่อาจเปลี่ยนเขาในเมื่อเขาทุ่มเทให้ต่อหน้าที่และภาระที่มีจนไม่เหลือเวลาให้สิ้นหวังแม้หัวใจจะมีช่องโหว่อยู่ก็ตาม จนวันหนึ่งที่เขาได้พบเพื่อนชายอีกครั้งทั้งที่เพื่อนชายก็เติบโตมาพร้อมกับเขาในสถานที่แห่งนี้แต่ด้วยความรู้สึกบางอย่างเขาจึงหลงลืมเพื่อนชายไปและไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน เพื่อนชายยิ้มให้เขาอย่างมีความสุขและทักทายเขา พวกเขาคุยกัน เขารู้สึกแปลกแยกและคุยไม่รู้เรื่องในสิ่งที่เพื่อนชายพูด แต่เขารู้สึกถึงความสบายใจที่กว้างใหญ่เหลือเกินจากเพื่อนชายที่แสดงออกมา เพื่อนชายเล่าว่าตนมีความรักและกำลังจะมีครอบครัว เรื่องนี้ดูเล็กสำหรับที่นี่ ใครก็มีครอบครัวได้ในที่แห่งนี้แค่น่าแปลกที่เขารู้สึกตื่นเต้นและตกใจอาจเพราะเขาพึ่งได้พบเพื่อนชายแบบจริงจังอีกครั้งในรอบหลายปี พบเจออีกทีเพื่อนชายก็กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ดูสุขุมและอารมณ์ดี ไม่ได้ชอบแกล้งหรือชอบทำเรื่องผิดพลาดที่ใหญ่โต เพื่อนชายหัวเราะง่ายจนเขาสังเกตุเห็นและรู้ว่านั่นคือการหัวเราะ ครู่หนึ่งเขาลองหัวเราะตามและมันทำให้เขาดูตลกแต่รู้สึกดี หรือพูดง่ายๆเขาดูแตกต่างจากเพื่อนชายจนเริ่มคิดได้ว่า แท้จริงเขาดูเป็นอย่างไรในสายตาคนอื่นเหมือนที่เขารู้สึกและมองเพื่อนชายในสายตาของเขา จนเพื่อนชายพูดในที่สุดว่า "ชีวิตมันสั้นนักเพื่อน ต้องหาความสุขใส่หัวใจซะบ้าง" ว่าแล้วเพื่อนชายก็ทุบหัวใจตัวเองและหันมาชกหัวใจของเขาเชิงหยอกล้อ เมื่อเพื่อนชายเดินจากไปชายหนุ่มเอามือคลำที่หน้าอกข้างซ้ายของตนเอง หัวใจเขาเต้นและเขาคิดเกี่ยวกับคำพูดของเพื่อนชายที่พึ่งเดินจากไป วันนั้นที่ได้พูดคุยกับเพื่อนชายเขาก็มีความคิดมากมายในหลายๆเรื่อง แต่หาคำตอบไม่ได้เพราะมันมักไปขัดแย้งต่อสิ่งที่เขาเป็นและถูกปลูกฝังมา จนครั้งหนึ่งเขาลองถามคนคนหนึ่งว่า เขาเป็นคนอย่างไรในสายตา คนนั้นตอบเขาด้วยความเกรงใจเขาจึงคิดว่าไม่ใช่ความจริงนักแต่ก็รู้สึกดีที่ได้รับความยกย่องจนน่าเกรงขาม แต่เขาก็ยังคงถามผู้อื่น คนอื่นๆ คำตอบไม่ต่างกันมากนักเขาจึงเริ่มมั่นใจว่าตนไม่ได้แตกต่างอะไรหรือผิดปกติตรงไหน แต่แล้ววันหนึ่งเขาได้พบคนคนหนึ่งที่พูดกับเขาด้วยการบอกว่า -เขาเป็นคนที่จริงจังกับสิ่งที่ไม่ใช่ตนเองมากเกินไป เคร่งเครียดต่อหน้าที่จนเกินตัว มองทุกอย่างเป็นของแข็งและไม่รู้จักผ่อนคลาย น่าเบื่อหน่ายถ้าต้องอยู่ด้วยกับคนอย่างเขา และบอกว่าเขาไม่มีเพื่อนให้คบหาเลยเพราะทำตัวเอง หน้าที่ภาระไม่ใช่เพื่อนที่มนุษย์ควรมีแค่นั้น แถมยังไม่ชอบพักผ่อนหรือรู้จักการทำอะไรที่สนุก มองชีวิตอย่างจำกัดทั้งที่ชีวิตคนหนึ่งคนสามารถพบเจอและสร้างเรื่องราว ความรู้สึกได้ไม่จำกัด หากเขายังเป็นแบบนี้เขาจะมีชีวิตที่สั้นเกินกว่าจะถึงวันที่ได้รับภาระที่แท้จริงมาดูแล- เขาผงะต่อคำพูดเหล่านั้นจึงไม่ทันได้โต้ตอบกลับไป จากนั้นเขาเริ่มถามผู้คนใหม่อีกครั้ง เริ่มจากผู้คนเดิมๆและมีข้อบังคับให้พูดความจริง รวมถึงไม่ต้องกลัวต่อความจริง เขาคิดประโยคคำถามเหล่านี้ขึ้นเองว่าด้วยมนุษย์ไม่ชอบผลที่จะตามมาหากต้องทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ต่อด้วยเขาบอกว่าหากมีอะไรที่เขาทำผิดพลาดเขาก็อยากจะแก้ไข จากนั้นผู้คนที่ตอบคำถามเขาเริ่มมีคำตอบที่แตกต่างออกไปจากครั้งแรกจนเกือบจะสิ้นเชิง ทุกๆอย่างคล้ายกับคำพูดของคนคนหนึ่งที่กล่าวไว้ เมื่อเขาเริ่มเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น เขาจึงเริ่มสับสนพาลให้อ่อนแอเพราะคิดว่าเมื่อเป็นตัวเองไม่ได้แล้วจะทำอย่างไรต่อดี ในเมื่อทุกคนที่เขาเติบโตมาด้วยกันมองเขาในอีกมุมที่เขาไม่เคยรู้ "แต่พวกเขาไม่ได้เกลียดนายนี่ พวกเขารักและนับถือนายจะตาย ใครๆก็บอกว่าอยากเก่งให้ได้อย่างนาย ใครๆก็บอกว่าไม่มีใครสามารถทำได้อย่างนาย" คำๆนี้จากเพื่อนชายที่เขามาปรึกษาทำให้เขามีกำลังใจ และเริ่มที่จะรับฟังมากขึ้น เขากับเพื่อนชายเริ่มสนิทกันอีกครั้ง เขาอาศัยการฝึกหัวเราะจากเพื่อนชายทุกวันและเริ่มมีมุขตลกที่เขาเล่นแล้วไม่ขำมาใช้กับคนอื่นๆ เริ่มแรกที่เขาเล่นคำตลกแล้วไม่ขำเขาก็ขมขื่นไปหลายวัน แต่เขาก็ไม่ได้ยอมแพ้ที่จะลองผ่อนคลาย หน้าที่ และภาระยังคงมีแต่เขาทำแค่พอดีตัวแม้จะฝืนใจเหมือนค้างคาก็ตาม เขาพูดออกเสียงว่า "วันนี้-พอแค่นี้-ก่อน" เพื่อเป็นการฝึกฝนให้ตนรู้จักพอและละจากความเคร่งเครียด จนเมื่อเวลาเริ่มผ่านไป ล้มเหลวบ้าง กลับไปเป็นแบบเดิมบ้าง เปลี่ยนเป็นผ่อนคลายบ้าง เขาก็เริ่มปรับตัวได้ในท้ายที่สุดแล้วความสุขเล็กๆที่เขาพึ่งสังเกตุได้ในวันหนึ่งก็เข้ามาทักทายเขา เขานั่งพักผ่อนโดยที่หนังสือเก่าแก่เล่มหนาวางอยู่บนตัก เขามองเพื่อนร่วมงานคุยกันและพูดถึงสิ่งต่างๆเขาฟังและแสดงความคิดเห็นเป็นระยะๆ จนเพื่อนร่วมงานเริ่มติดใจและมักจะถามคำถามกับเขาเพื่อปรึกษาบ่อยครั้ง จนวันหนึ่งเขาได้คิดถึงเธอ เป็นความคิดที่แตกต่างจากวันนั้นที่เขาหลงรักเธอและพึ่งมองมันใหม่ในวันนี้ทำให้เห็นว่าเขาทำผิดและไม่รู้จักอะไรที่เรียกว่าความรักเลย ทุกวันนี้เขาเริ่มให้สิ่งต่างๆแก่ผู้อื่น และคำขอบคุณมากมายช่างดี ผู้อื่นก็เริ่มให้แก่เขาและเขารู้สึกดีมากๆเพราะเขาไม่เคยได้รับอะไรเลยและพึ่งรู้ตัวในวันที่ได้รับพายแอ๊ปเปิ้ลจากเพื่อนคนหนึ่งมา มันมีการ์ดแนบมาและมันเขียนว่า-ขอให้อร่อยมากๆและอิ่มด้วย- เขารู้สึกดีสุดๆและหัวเราะข้อความในการ์ดที่เขียนเหมือนไม่แน่ใจว่าจะเขียนดีหรือไม่ และอาจเพราะเขาฝึกหัวเราะกับเพื่อนชายทุกวันในช่วงแรกจนติดเป็นนิสัย พายที่แสนอร่อยยังคงเป็นของชอบที่โปรดปรานของเขาจากนั้นเรื่อยมา และเขาพึ่งได้มีขนมที่ชอบก็ตอนนั้นเอง เมื่อเขาคิดได้แล้วว่าแต่ละคนต้องมีของที่โปรดปรานเขาก็พยายามหาสิ่งที่เธอโปรดปรานและชื่นชอบ เขาหามันอย่างเงียบๆและถามจากคนอื่นที่รู้จักเธอ เมื่อเขาพร้อมในวันหนึ่งจึงเริ่มเข้าหาเธออีกครั้ง ตอนแรกเธอไม่ค่อยตอบรับ แต่เพราะการเปลี่ยนแปลงของเขามันชัดเจนมาก เธอจึงเริ่มมองเขาใหม่ จากนั้นชายหนุ่มจึงได้เรียนรู้ที่จะรักและมีความสุข ทั้งสร้างมันขึ้นมาเองหรือเปิดรับจากผู้อื่น เขายอมให้เธอเป็นผู้นำเขาในหลายๆเรื่องแม้จะขัดใจอย่างสุดขีดในช่วงแรกแต่เพื่อนชายของเขาแนะนำว่า "มันดีมากนะเพื่อนเอ๋ย หากได้มีหญิงเป็นคนนำให้ในบางเรื่องของชีวิต" ไม่นานเขาก็เริ่มเข้าใจในความหมายของเพื่อน -บางเรื่อง- ไม่ใช่ในทุกเรื่องเขาจึงยอมรับได้และมันทำให้เธอมีความสุข เธอสอนเขามากมายในสิ่งที่เธอรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิต เมื่อเราต่างให้ใจกันแล้วเธอก็ยอมเล่าว่าเมื่อก่อนรู้สึกอย่างไรกับเขา ชายหนุ่มหัวเราะร่าแทนที่จะเคืองโกรธ ก็เพราะตอนนั้นเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆและเพราะตอนนี้เขาไม่ใช่แล้วเธอถึงยอมที่จะเล่าและเพราะเราจริงใจต่อกัน. หน้าที่ที่ต้องฝึกฝนและภาระที่หนักหนายังคงมี แต่เขามีเพื่อนมากมายที่รักและห่วงใยเขาและเขาก็ยอมเปิดรับความห่วงใยและความช่วยเหลือ เขาจึงทำมันได้เรื่อยมา ตอนนี้เขาคิดว่าเขาได้เรียนรู้มากมายนักเมื่อเปิดใจ เขามองย้อนกลับไปเป็นเวลาสิบกว่าปีที่เสียไปกับการเป็นอีกคนที่ไม่รู้จักการใช้ชีวิต แต่คิดเสียว่ามันเป็นแค่ช่วงเวลาในวัยเด็กก็แล้วกัน จากนั้นชายหนุ่มก็ดำเนินชีวิตต่อเรื่อยมา ไม่นานเขาก็แต่งงานและมีครอบครัว มันช่างมีความสุขสำหรับเขา ภรรยาที่น่ารักและดุเป็นบางครั้งทำให้เขารู้สึกปลอดภัย การได้เธอมามันเป็นเรื่องที่ดีนักเขาคิด จากนั้นเขาก็ได้มีลูก ลูกชายที่น่ารักและสวยงามสำหรับเขาและมันทำให้โลกเขาเปลี่ยนไป การมีลูกเป็นเรื่องที่ดีเหลือเกิน การเห็นภรรยาเลี้ยงดูลูกก็ดีมากเช่นกัน และยามที่เขาเล่นกับลูกชาย ภรรยาก็มีความสุขมากเช่นกัน. เขายังคงมีภาระและหน้าที่ที่หนักหนา ยิ่งนานวันภาระที่จะได้รับยิ่งกดดันเขา ครอบครัวเป็นที่พึ่งพาใจของเขาที่ทำให้เขามีกำลังใจ เมื่อทำงานเขาเหนื่อยล้า แต่เมื่อกลับมาเปิดประตูเข้าบ้าน กลิ่นหอมจากพายแอ๊ปเปิ้ลที่ภรรยาทำเอาไว้รอเขา เสียงของลูกที่วิ่งเล่นไปมา มันทำให้เขามีความสุข เพื่อนชายยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อเขามากๆ จนมาวันหนึ่งเขาพูดเรื่องในวัยเด็กกับเพื่อนชายถึงเรื่องแย่ๆที่เขาเคยทำ เขาขอโทษเพื่อนชาย แต่เพื่อนชายกลับหัวเราะและบอกว่าตอนนั้นเสียใจสุดๆและไม่คิดจะยุ่งด้วยอีก แต่พอเวลาผ่านจึงได้รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนไม่ดีแต่แค่ใช้ชีวิตแตกต่างออกไปเท่านั้น และเรื่องนี้มันเปลี่ยนกันได้เมื่อเติบโต เขาหัวเราะที่เพื่อนชายบอกแบบนั้น เพราะเขาเปลี่ยนจริงๆเมื่อโตขึ้น แต่มันก็เป็นเพราะเพื่อนชายคนนี้อีกที่เปลี่ยนเขา. เขาสอนลูกแตกต่างจากที่เขาถูกสอนมา ลูกชายของเขาฉลาดกว่าเด็กวัยเดียวกันและไม่ได้เหมือนเขาตอนเป็นเด็ก ภรรยาของเขาล้อเขาเล่นเสมอว่าหากลูกชายเหมือนเขา เธอจะต้องตรอมใจแน่นอน. ชายหนุ่มยังคงดำเนินชีวิตอยู่อย่างปกติสุข เขาเฝ้ามองลูกชายของตนเติบโตและคอยสอนลูกตนให้เป็นไปอย่างโลกที่เขามองเห็น และลูกชายของเขาเชื่อฟัง. เวลาผ่านไปดูเหมือนจะม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จนวันหนึ่งมันเป็นวันที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัวเหมือนโลกที่เขารู้จักไม่ใช่โลกใบเดินสำหรับเขา เมื่อสถานที่ที่เขาดูแลและหวงแหน สถานที่ที่พร่ำสอนและอบรมเขาให้เติบโตนั้น มันถูกโจมตี เริ่มจากใครคนหนึ่ง พวกมันเผา พวกมันฆ่า และเพราะมันเป็นการลักลอบโจมตี มันจึงทำให้ฝ่ายเขาไม่อาจเตรียมพร้อมสู้ จึงพ่ายแพ้ ทุกคนที่เหลือถูกจับให้อยู่รวมกัน มีแต่เขาคนเดียวที่ถูกจับขังอยู่ในห้องแยกเดี่ยว เพราะอะไรใครก็รู้ เนื่องจากเขาคือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ได้รับรู้และดูแลบางสิ่งบางอย่าง แต่ก็ไม่มีใครได้อะไรจากเขา. จนวันที่ทางของเขาถูกตัดขาด ใครคนหนึ่งเดินเข้ามา ดูน่าเกรงขามและแตกต่างจากพวกเขา การแต่งตัวและคำพูดจา น้ำเสียงและสำเนียงของภาษา คงจะมาจากที่ที่ไกลออกไปสินะ มาเพื่อทำลายทุกสิ่งเพราะต้องการหาสิ่งที่เล็กๆอย่างนั้นเหรอ ชายหนุ่มคิด คนคนนั้นพยายามถามชายหนุ่มถึงสิ่งที่ต้องการแต่ชายหนุ่มไม่ได้ตอบสิ่งใด ตอนนั้นเองที่คนคนนั้นรับบางอย่างจากใครอีกคนที่ดูอ่อนกว่ามาถือในมือ มันคืออุปกรณ์สื่อสารที่พวกเขาไม่ได้ใช้ หน้าจอสี่เหลี่ยมใสดำมืด และมันก็สว่างขึ้น คนคนนั้นยื่นสิ่งนั้นมาให้เขาจ้องดู ในจอสี่เหลี่ยมนั้นมีภาพผู้คนที่เหลืออยู่ พวกเขาถูกจับไว้ นั่งและเบียดเสียดกัน ในจอทุกคนเคลื่อนไหวได้ เขาคิดว่ามันคงเป็นวีดีโอ ตอนนั้นเองที่เขาเห็นภรรยาและลูกของเขา เธอกับลูกถูกพาออกมา ลูกชายของเขาไม่ร้องไห้แต่กลับกันเด็กตัวน้อยกับโอบกอดผู้เป็นแม่ราวกับแขนเล็กๆนั่นจะปกป้องแม่ของเขาได้ พวกเขาอยู่ไกล้จอภาพที่เขามองมาก คนคนนั้นทักขึ้นมาว่านี่เป็นภรรยาและลูกของเขา บอกว่าเขากำลังเล่นเกมส์ที่ไม่อาจชนะ บอกว่าจะทำลายภรรยาและลูกของเขาหากเขาไม่บอกสิ่งใด เขาพล่ามออกมาเท่าที่จะนึกได้ในตอนนั้น ตัวสั่นเทาและเขาอวดครวญ เขาขอร้องสุดชีวิต เขาอ้อนวอนแทบขาดใจ แต่ไม่มีใครเชื่อเพราะนั่นไม่ใช่ความจริง ก็ถูกแล้วที่มันไม่ใช่ความจริง ไม่นานลูกชายของเขาก็ถูกดึงออกจากอ้อมแขนของภรรรยาไป เธอกรีดร้องและพยายามแย่งคืน เขาเองก็ร้องด้วยเช่นกัน ไม่นานลูกชายของเขาก็พาเข้ามาในห้องที่เขาถูกขัง เด็กน้อยเรียกผู้เป็นพ่อไม่หยุดปากและยังคงไม่ร้องไห้ ผู้เป็นพ่อเองกลับมีน้ำตาและพยายามขอร้องให้คนพวกนี้หยุดเพราะเขาไม่มีสิ่งใดจะบอกได้จริงๆ เขาพูดความจริงแล้วแต่ไม่มีใครเชื่อเขา ด้วยสิ่งที่เขาเป็นและถูกรับมอบหมายมันคือตราที่ประทับบนใบหน้าอย่างหนึ่งว่าเขานั้นคือผู้ที่รับรู้ทุกอย่าง บางอย่างจ่ออยู่ที่ศรีษะเด็กน้อย ชายหนุ่มคร่ำครวญ วิงวอน เขาก้มหัวจนติดพื้น ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลันเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเขาเงยหน้าขึ้นมองเห็นลูกของตนล้มลงนอน สีหน้าของเด็กน้อยเหมือนไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ตาของเด็กน้อยปิดลงข้างหนึ่ง เลือดของเด็กน้อยไหลนอง และผู้เป็นพ่อขาดใจ เขาคำรามตะโกนก้องและพยายามตะเกียกตะกายไปหาผู้เป็นลูก แต่ทำได้แค่พยายามเมื่อร่างกายเขาถูกมัดและขึงตึงอยู่อย่างนั้น ร่างของเด็กน้อยถูกเอาออกไปแล้วจอสี่เหลี่ยมถูกเลื่อนมาตรงหน้าเขา ตาเขาพล่าเลือนเพราะน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม เขารู้ว่าภรรยาเขาอยู่ตรงนั้น และเธอกรีดร้องเมื่อได้รับร่างของลูกชาย เสียงกรีดร้องของเธอไม่มีสิ่งใดเทียบเท่า เธอฟุบลงซบลูกชายของเธอและเรียกชื่อของเด็กน้อย เธอยังคงกรีดร้องและเสียงของเธอควักหัวใจของเขาไป เขาไม่ได้โวยวายสิ่งใดทุกอย่างนิ่งงัน คนคนนั้นถอนหายใจบอกว่า เขาคงไม่อยากเสียภรรยาไปอีกคน ดังนั้นช่วยบอกในสิ่งที่เขาต้องการเขาพูดออกมาไม่ได้เพราะทุกอย่างของเขาปิดตาย ไม่นานภรรยาของเขาถูกจับตัวเข้ามาในห้อง เธอเหมือนเสียสติไปแล้ว เพราะไม่แม้แต่จะมองหน้าของเขา เธอก้มหน้าอยู่และถูกกระชากดึงขึ้น เธอจึงเห็นหน้าเขาและร้องไห้เรียกชื่อของเขา เธอกรีดร้องชื่อของเขาและสายตาเธอก็เห็นเลือดที่กองอยู่บนพื้น เธอกรีดร้องและบอกว่านั่นเลือดของลูกเรา เขาเรียกชื่อเธอ แต่เสียงนั่นมันช่างเบา เธอถูกจับให้นั่ง และเขาถูกเค้นคำถามมากมาย เธอยังคงกรีดร้องและคงเพราะความรำคาญที่มี คนคนนั้นได้เดินไปหาเธอและเหวี่ยงบางอย่างใส่หน้าเธอ เธอฟุบลงไปกองกับพื้นและสะอึกสะอึ้น เขาพยายามดิ้นรนและเรียกเธอ ไม่ได้ตอบคำถามของใคร จนเมื่อเวลาผ่านไป การเค้นคำถามและทรมานก็ไม่เกิดประโยชน์ แน่นอนว่าใครก็ต้องเดาจุดจบได้ เมื่อเธอหยุดหายใจต่อหน้าเขา บางอย่างในตัวเขาก็หยุดไปพร้อมกับเธอ ร่างของเด็กน้อยถูกนำมาไว้ในห้องนี้ อยู่ไกล้ๆกับภรรยาของเขา. จากนั้นเขาถูกปล่อย แต่ยังคงถูกขังอยู่ในห้องนั้นพร้อมกับจอสี่เหลี่ยมเล็กที่ถูกวางไว้ข้างๆ เขาเข้าไปหาภรรยาและลูกของเขา หลายอย่างเกิดขึ้นในตอนนั้น หลายอย่างที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้ สายตาของเขาเหลือบมองไปที่จอ ทุกคนถูกจับให้นั่งก้มหัวเรียงแถว และจากนั้นเสียงลั่นไกก็สนั่นหวั่นไหว ไม่จำเป็นต้องมองจออีกต่อไปเพราะภายในห้องนี้เสียงมันชัดเจนกังวานยิ่งกว่าสิ่งใด และเมื่อทุกอย่างเงียบลง เขาคำรามและตะโกนก้องออกไป. นานแค่ไหนที่เขาหลับ เมื่อตื่นจึงพบว่าตนอยู่เพียงลำพังบนดาดฟ้าสำคัญของที่นี่ เขาพยายามลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคนเดินมา คนคนนั้นมาพร้อมกับคนของมัน คนของมันล้อมเขา สองคนจับเขาและเขาสิ้นเรี่ยวแรงจะขัดขืน คำถามมากมายยังคงมีจากมันคนคนนั้น เขาจ้องมัน และมันจ้องเขา เขาเอ่ยบางสิ่ง มันคือการทวงคืนเพื่อล้างแค้น-วันใดวันหนึ่งจากนั้น สีหน้าของมันมีความเครียด ก่อนจะบอกว่าเขาไม่มีทางได้ไปไหนเพื่อกลับมาล้างแค้น และต่อให้กลับมา คนอ่อนแออย่างเขาไม่มีปัญญาที่จะสามารถทำอะไรแบบนั้น เขาคำรามและถูกต่อยทันที คนคนนั้นยกมือห้าม และทุกคนถอยออกมา บางอย่างจากบนฟ้ากำลังมา มันคือเสียงของเครื่องบิน ขนาดของมันไม่ใหญ่มาก ตอนนั้นที่คนคนนั้นเอ่ยขึ้น บอกว่าเขาเป็นเพียงเรื่องเล็กที่ไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยาก และเขาพบเจอเรื่องที่ยุ่งยากกว่านั้นมาแล้ว อย่าสำคัญตนผิดให้มาก เขายืนเคว้งคว้างตอนเครื่องลงจอดบนดาดฟ้น เสียงลมสนั่นและบดบังเสียงอื่น เขาหันมองรอบตัว มองเบื้องล่าง ทุกที่ยังคงมีควันลอย บางจุดยังคงมีเปลวไฟ มันกำลังเผาและมอดไหม้ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่กว้างใหญ่ มันเป็นเพียงเมืองเล็กๆที่อยู่ห่างไกล เมืองที่มีคุณค่าต่อหลายสิ่งหลายอย่าง เมืองของความรู้ เขาคิดอย่างนั้นน้ำตาก็ไหลริน ความคิดถึงมากมายก่อตัวขึ้น ตอนนั้นทุกอย่างกำลังเคลื่อนไหว ทุกคนกำลังขึ้นไปที่เครื่องบินลำนั้น สองสามคนกำลังเดินมาที่เขา และเขาใช้พลังกายสุดท้าย ออกแรงเพื่อหนีให้รอดจากคนที่มาห้อมล้อมเขา แค่ไม่ให้โดนแตะตัวแค่นั้น เขาคิด เสียงของมันคนนั้นตะโกนก้อง.. เมื่อเขากระโดดลงจากที่สูง และดิ่งลงสู่เบื้องล่าง"
..................

นั่นน้ำตาเหรอที่ไหลริน ไม่คุ้นเลยจริงๆเหมือนพึ่งได้รู้จักว่านั่นคือน้ำตา เหมือนพึ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองนั่งอยู่บนพื้น และผมก็ไม่ได้คิดจะลุกขึ้น ตอนนี้มันไม่มีเสียงของเธอแล้ว.. เธอคงเล่าจบแล้วสินะ ผมเงยหน้าไปมองเธอ เธอมองหน้าผมสีหน้ายังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้านี้ และเธอลุกขึ้นจากเตียงเดินมาหาผม เธอนั่งลงตรงหน้าและยื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้ผม ผมไม่ขัดขืน มันเหมือนเป็นการต่อชีวิตที่เธอทำอย่างนั้นให้ผม เธอดึงผมไปกอดไว้ และผมก็ได้อยู่ในอ้อมกอดเธอหลังจากนั้นผมปล่อยโฮ.. ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ผมกอดเธอแน่นและเธอก็กอดผมไม่ปล่อยเช่นกัน เธอลูบศรีษะผม มันช่างอ่อนโยน ร่างกายของเธอมันเล็กเพียงนิดเดียว แต่พื้นที่ช่างกว้างใหญ่นัก ตอนนี้เราสองเหมือนสลับที่กันเมื่อเด็กสาวต้องมาปลอบใจผู้ที่แก่กว่า ผมเงยหน้าขึ้นมองเธอ และได้เห็นว่าเธอก็มีน้ำตาเหมือนกัน แค่ไม่ได้ไหลออกมา เธอก้มลงมองหน้าผม

"ฉัน.. ยอ..มแพ้ ...." ในที่สุด ผมก็พูดออกไป และมันไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างในความฝัน ภายในปากของผมมีบางอย่างที่มีปัญหาเพราะการไม่ได้พูดสิ่งใดมานาน เสียงของผมก็เช่นกัน เธอบอกให้ผมหายใจช้าๆและยื่นยาเม็ดเล็กๆหนึ่งเม็ดให้ผมอมไว้ในปาก ผมรับมาอย่างง่ายดายโดยที่ไม่รู้ว่าทำไม มันทำให้ผมรู้สึกดีภายในลำคอและที่ลิ้น ผมรู้สึกขอบคุณเธอในใจ แม้ตอนนั้นจะมีคำถามมากมายอยู่ในหัวเกี่ยวกับเธอ แต่ผมก็เลือกที่จะเก็บเอาไว้และ รอก่อน
"คุณไม่ได้แพ้สิ่งใด ไม่ต้องบอกว่ายอมแพ้ การที่คุณพูดไม่ได้แปลว่าคุณแพ้อะไรเลย แต่มันหมายถึงคุณกำลังกลับมาเป็นตัวคุณเอง นั่นมันไม่ดีเหรอ?" เธอบอก และจับไหล่ผมแน่น จ้องหน้าผมเหมือนออกคำสั่ง ผมส่ายหน้าช้าๆเหมือนจะบอกว่าไม่ดีหรอก หรือจะบอกว่าไม่รู้ก็ได้เหมือนกัน
"คุณไม่มีสิ่งใดที่เขาต้องการ... ใช่มั้ย?" เธอถามผม ผมมองหน้าเธอทันที
"ใช่.." ผมบอกเธอ คำๆเดียวที่ยากจะเปล่งเสียงออกมา แต่เธอกลับยิ้ม
"ไม่เป็นอะไรนะ"
"เป็นสิ มันเป็นแน่นอน!" ผมขึ้นเสียงโดยไม่มีเหตุผล ดูเธอจะตกใจ ผมจึงถอยห่างจากเธอเพราะกลัวเธอจะโดนทำร้าย แต่เธอกลับเข้าหาผม
"ฟังนะ เขาจะเชื่อฉัน" และผมนิ่งไป ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเธอเองก็ถูกส่งมา เหมือนสี่คนก่อนหน้านี้ที่เคยถูกส่งมา มันง่ายมากที่ความไม่พอใจจะพุ่งเข้าสู่ตัวผม เธอเห็นแล้วกลับถอนหายใจแทนที่จะกลัว
"ไม่เอาน่า..." เธอทำหน้าขอร้อง "อย่าพึ่งโมโหอะไรเลย ที่ผ่านมาคุณหลอกเขาว่าคุณรู้และมีและสามารถทำในสิ่งที่เขาต้องการได้ แต่จริงๆมันไม่มี.." เธอเอียงคอเชิงถาม "คุณเคยบอกเขาตอนที่จนมุม แต่เขาไม่เชื่อ และนั่นทำคุณเสียใจและเคียดแค้น การที่คุณหนีมันยิ่งตอกย้ำว่าคุณนั้นมีบางอย่างจริงๆ การที่คุณกลับมาแก้แค้นและถูกจับได้ การที่คุณกลายเป็นคนไม่พูดก็เหมือนกับว่า คุณมี แต่จริงๆแล้วมันไม่มี และการที่ไม่พูด มันคือการรักษาชีวิตตนเองเอาไว้ว่าเขาจะไม่ทำอะไรคุณ เพราะมันมีคุณคนเดียวและมันเหลือเพียงคุณคนเดียวเท่านั้นที่เขาคิดว่า รู้" ตอนนั้นเธอลุกขึ้นและเดินไปยืนตรงกลางห้อง
"ฉันไม่ใช่ทั้งนักบำบัดหรือนักพูดอะไรหรอก" เธออ้าแขนเหมือนสารภาพความผิด "และไม่ใช่คนที่จะมาล่อลวงหรือทำร้ายจิตใจคุณ" เธอชี้มาที่ผม "แต่ฉันมาทำตามสัญญาน่ะ" เธอก้มหัวให้ผมเป็นการขอโทษ "นิทานเหล่านั้นมันไม่ได้สำคัญมากมายอะไรหรอก แต่มันสำคัญสำหรับการเรียกให้คุณกลับมา เพราะคุณนั้นหลงลืมตนเองในเวลาเก่าเพราะอดีตมันเจ็บปวด มันอาจทำให้คุณใช้ชีวิตอยู่ต่อไม่ได้นั่นหมายถึงคุณจะแก้แค้นไม่ได้จึงลบความจำตนเอง และบังคับตนเองให้จำได้แค่ว่าต้องทำอะไร ทำเพราะอะไรและเพื่ออะไร ฉันจึงเล่า เล่าเรื่องราวของคุณ เพื่อให้คุณจำได้ มันทรมานฉันรู้และฉันเสียใจ แต่มันดีกว่ามั้ยที่คุณรู้สึกอยู่ในตอนนี้กับก่อนหน้านี้ มันแตกต่างกันหรือไม่" เธอถามผม
"เธอมา เพื่อปลดปล่อยฉัน" ผมพูด
"ใช่ ฉันมาเพื่อปลดปล่อยคุณ แต่การจะปลดปล่อยใครสักคนหนึ่ง ก็ต้องรู้ด้วยว่าเขาเป็นใคร และจะปลดปล่อยเขาจากอะไร และอะไรที่มันผูกมัดเขาไว้" เธออธิบาย
"แล้วเธอคิดว่ามันจะปล่อยฉันที่ไม่มีอะไรให้มัน โกหกมัน และทำให้มันเสียเวลาและยังอยากที่จะฆ่ามันงั้นเหรอ?" คำถามมากมายออกจากปาก บางคำผมก็พูดไม่ชัดแต่เธอคงฟังออก
" ใช่ " เธอตอบชัดคำ หนักแน่นพร้อมพยักหน้า "เขาจะปล่อยคุณ" เธอเสริม
"ทำไมเธอถึงมั่นใจ เธอยังไม่รู้จักความชั่วช้าของมัน" ตอนนั้นเองที่ผมนิ่ง คิด "หรือเธอรู้จักมัน?" ผมถามเธอและหวาดหวั่นใจ เธอยืนนิ่งและไม่ไหวติง สีหน้าเรียบเฉย
"ฉันจัดการเรื่องนั้นก่อนมาหาคุณแล้ว คุณจะไม่เป็นอะไร" เธอตอบคำถามผมไม่หมด
"เธอ รู้จักมันเหรอ?" ผมถามอีกครั้ง
"ใช่ ฉันทำงานให้เขา..." ยังไม่ทันจบประโยค ผมก็เข้าหาเธอ แม้ว่าเธอจะไม่แสดงสีหน้าตกใจ แต่เธอก็ดูไม่อยากให้ผมทำอย่างนี้ ผมจับแขนเธอและบีบมัน แต่ก็แค่นั้นเพราะไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใดต่อดี ผมหายใจแรงเหมือนกำลังระบายความผิดหวังออกมา เธอเอามือแตะมือผมที่จับแขนเธออยู่ " ใช่ " เธอพูดอีกครั้ง "แต่เป็นในรูปแบบการใช้หนี้น่ะนะ.." แล้วเธอก็ยิ้มเหนื่อยหน่ายให้ผม ผมปล่อยมือจากแขนของเธอ แล้วยื่นมันไปที่ดวงตาข้างซ้ายของเธอ ผมแตะมันเบาๆ เธอไม่ได้หนี
"มันเกี่ยวกับฉันมั้ย? เจ้ารอยนี้ เธอได้มายังไง" ผมถามเธอ
"มันเป็นวิถีของฉันน่ะ ฉันมีอะไรแบบนี้ประจำแหละ" เธอตอบและเหมือนไม่ใส่ใจมันจริงๆ
"มันทำเหรอ?" ผมถามเธอ เธอจับมือผมออกจากตาของเธอ และพยักหน้ารับ
"ใช่ ฉันไม่โกหกหรอก ก็ยอมรับ แต่มันเป็นเรื่องปกติเพราะฉันเองก็ทำให้เขาเดือดร้อนและมีปัญหากวนใจในอีกรูปแบบหนึ่งน่ะ ก็ถือว่าแลกเปลี่ยนกัน ที่จริงคุณไม่ต้องสนใจหรือใส่อารมณ์กับมันหรอก มันเป็นแผลของฉันนะ" เธอทำหน้าตาหงุดหงิดและผมชอบใจ ตอนนั้นเองที่กำแพงกระจกถูกเลื่อนขึ้น มันถูกดึงเลื่อนขึ้นพร้อมกันสิบสามแผ่น เหลือสองแผ่นสุดท้ายที่กั้นห้องของผม เธอหันไปมองแล้วสบทไม่พอใจ ผมเห็นใครคนหนึ่งกำลังเดินมา และในตอนนั้นเองที่ทุกอย่างดึงผมให้ย้อนกลับไปสู่เรื่องราวที่ฝังใจ ผมตัวสั่นและกล้ามเนื้อเกร็ง เมื่อเห็นมันคนนั้นกำลังเดินมาพร้อมกับคนของมัน พวกเด็กเหลือขอ ผมสบทใส่พวกนั้น เธอมองหน้าผม และยื่นมือมาจับแขนผม เลื่อนไปที่มือของผม เธอทำปาก ชู่วว ใส่ผม ผมผ่อนคลายลงและอาจหัวเราะออกมาหากไม่ใช่ตอนนี้ เธอพูดกับมัน
"ก็อย่างที่คุณเห็น และได้ยิน" เธอบอกมัน ฟังจากน้ำเสียงที่เธอใช้ เขารู้สึกได้ว่าเธอไม่ได้เคารพมันหรือกลัวมันหรือแม้แต่อ่อนน้อมว่าเป็นคนที่ต่ำกว่า รวมทั้งท่าทางที่แสดงออก ส่วนตัวผมเองกำลังต่อสู้กับตัวเองเพื่อควบคุมให้มันนิ่ง เมื่อนิ่งสิ่งต่างๆที่รับรู้จะชัดเจนขึ้นผมบอกตัวเองอย่างนั้น. มันพยักหน้ารับเธอ
"คุณจะทำตามสัญญา" เธอบอกมัน และมันนิ่ง ไม่ไหวติงเหมือนสิ่งไม่มีชีวิต ผมยังคงจ้องมองมันอย่างกระหายที่จะเห็นมันหลั่งเลือด
"เสร็จงานของเธอแล้ว กลับออกมาซะ" มันพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจตีความหมายใดอย่างเคย พร้อมกับมองหน้าผม ผมไม่อาจคาดเดาว่ามันคิดสิ่งใดจากสีหน้านั้น จากนั้นกำแพงกระจกแผ่นที่กั้นห้องของผมก็ถูกเปิดดึงขึ้น. แบบนี้มันท้าทายผม เพราะผมก็สามารถออกไปพร้อมกับเธอได้ มันลองใจผม เธอหันมามอง และตบไหล่ผมเบาๆ
"คุณจะไม่เป็นอะไรนะ" น้ำเสียงที่อ่อนโยน จริงใจจนหาข้อสงสัยไม่ได้ เธอดูกังวลและผมยังไม่อยากให้เธอไป ผมทำสีหน้าที่แสดงออกว่า อย่าไปเลย และเธอเข้าใจผม
"ฉันไม่เป็นอะไรหรอกนะ ฉันต้องออกไปและจัดการเรื่องของคุณต่อไงล่ะ"
"แล้วเราจะเจอกันอีกมั้ย?" ผมถามเธอทันทีโดยไม่ต้องคิดสิ่งใดเลย เธอยิ้มและพยักหน้า
" อื้ม " เธอบอกแค่นั้นและเดินออกไป แต่แล้วผมก็ดึงแขนเธอไว้ เธอหันมาตามแรงดึง ครู่หนึ่งผมเห็นสีหน้าของมัน มันไม่พอใจที่ผมทำอย่างนั้นและเด็กเหลือขอของมันก็เช่นกัน เธอเรียกชื่อผม ผมฟังจากนั้นผมบอกเธอ มันช้าเกินไป.. มันสายไปสำหรับฉัน เธอทำหน้าเศร้าแล้วเดินเข้ามาหาผม เขย่งเท้ามาที่หูของผม ผมย่อตัวให้เธอเล็กน้อย รู้อะไรหรือไม่ ฉันนี่แหละ คือสิ่งที่สายไปแล้วเสมอมา ดังนั้นอย่าท้อใจหากมันจะสายไปจริงๆ จงไปตามทางที่เวลาเล็กน้อยของคำว่า สายไปแล้ว จะพาไปเถอะนะ อย่าเดินสวนทางมัน เพราะมันจะทำให้คุณเหนื่อยในเวลาที่เหลือ... คุณต้องยอมรับ เธอกระซิบบอก และผมปล่อยเธอจากไป ก่อนที่กำแพงกระจกจะเลื่อนลงมาถึงพื้น กำแพงกระจกอีกแผ่นที่กั้นเธอไว้กับพวกมันก็ถูกเปิดดึงขึ้น พวกเด็กเหลือขอเข้ามารับเธอสองคน ผมไม่เคยเห็นเด็กพวกนี้ พวกนี้ไม่ใช่พวกเด็กเหลือขอในวันนั้นที่บ้านเก่าของผมถูกพังทลาย เธอถูกจับแขนข้างหนึ่งโดยเด็กเหลือขอผมสีน้ำตาลเข้ม ผมเดินเข้าประชิดกำแพงกระจกทันที แต่แล้วจึงเห็นว่ามันคือการประคองเธอ เธอหันมามองและยิ้มให้ผม เธอดูเศร้าหมองเหลือเกินในตอนนั้น
..
 ..
ไม่นานหลังจากเธอจากไป ผมก็ถูกปล่อยตัว มันเหมือนไม่ใช่เรื่องจริงเมื่อมีเสียงของเธอเข้ามาในห้อง เสืองเหมือนผ่านลำโพงตัวเล็กสักตัวแต่ผมมองหาก็ไม่อาจเจอ แต่ก็ทำความเข้าใจได้ เธอให้ผมยอมทำตามทุกอย่างที่พวกมันอยากให้ทำ ผมถามคำถามมากมายแต่เธอไม่ได้ตอบเหมือนกับว่าเธอไม่ได้ยินและแค่พูดฝากเสียงเอาไว้. กำแพงกระจกทั้งหมดถูกเลื่อนขึ้น ผมลุกขึ้นยืนและเดินออกไป มันไม่ได้ยากแต่ก็ไม่ได้ง่ายนักสำหรับผม การเดินไกลกว่าการเดินภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กนี้ดูช่างแปลก ผมหันมามองห้องสี่เหลี่ยมนั้น สีขาวของมันดูหม่นหมอง หรือก็คือผมเองที่หม่นหมอง. ระยะทางที่ไม่ไกลแต่ก็ดูเหมือนไกล การเดินแต่ละก้าวให้ความรู้สึกเหมือนบางอย่างจากผมค่อยๆร่วงหล่นทีละเล็กทีละน้อย ผมหันไปมองข้างหลังเป็นบางครั้งราวกับจะหาเศษที่ร่วงหล่นนั่น แต่ก็ไม่มีอะไร ขาของผมเดินไม่ค่อยถนัดนัก นี่ก็ไม่แปลกอะไร เมื่อถึงลิฟท์ประตูก็เปิดออก แต่คนที่ออกมาไม่ใช่พวกที่เคยออกมาเพื่อทำลายผม เด็กเหลือขอผมสีน้ำตาลเข้มเพียงคนเดียว ตอนนั้นเสียงของเธอก็คอยย้ำเตือนผมเสมอๆ มันไม่มีความโกรธหรือเดือดดาลอะไรทั้งนั้น ผมเดินเข้าไปในลิฟท์ช้าๆ ยืนข้างเด็กเหลือขอผมสีน้ำตาลเข้ม เด็กหนุ่มไม่ได้ทำสีหน้าดุร้ายหรือไม่พอใจเขา เด็กหนุ่มยืนเอามือไพล่หลังและมองมาเป็นครั้งคราวราวกับจะตรวจสอบว่าผมยังอยู่ดี ภายในลิฟท์ไม่มีการบอกว่าอยู่ชั้นที่เท่าไหร่ และกำลังขึ้นหรือลง แต่ถ้ามันเป็นการปล่อยตัวมันก็ต้องเป็นลงข้างล่าง แต่ความคิดหนึ่งก็คอยถามผมเสมอ ผมจะถูกปล่อย จริงๆน่ะเหรอ และผมไม่รู้ตัวว่าทำไมถึงทำแบบนั้น แต่ผมถามออกไป เสียงฟังดูตลกนักแต่มันก็ต้องใช้เวลา
"เธออยู่ที่ไหน" ผมถามเด็กเหลือขอผมสีน้ำตาลเข้ม เด็กหนุ่มแค่ชำเลืองตามามองโดยที่ไม่ได้หันมา
"ยังอยู่" เด็กหนุ่มเหลือขอ ตอบไม่ชัดเจน ผมจึงถามต่อ
"จะได้เจอเธออีกมั้ย?" เด็กหนุ่มเหลือขอผมสีน้ำตาลเข้มหันมามองจ้องผมตรงๆแล้วในคราวนี้
"ขึ้นอยู่กับว่านายจะทำตัวอย่างไร" เด็กเหลือขอตอบกลับมา ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ผมคงต้องเป็นคนที่เรียบร้อย และเชื่อฟัง ผมถามเด็กเหลือขออีกครั้ง
"เธอเป็นยังไงบ้าง?" เด็กเหลือขอฟังผมแต่ไม่ได้หันมามอง เขาถอนหายใจก่อนจะพูดว่า
"นายดูไม่ออกจริงๆน่ะเหรอ" ก่อนจะหันมามองผม
"เธอ.. ดูไม่ค่อยแข็งแรง"
" ใช่ " เด็กเหลือขอตอบในทันที
"เธอเป็นอะไรเหรอ?" และในตอนนั้นที่ลิฟท์เปิดออกและเด็กเหลือขอผู้มีผมสีน้ำตาลเข้มก็ไม่ตอบกลับสิ่งใดและเหมือนจะไม่สนใจที่จะตอบกลับผมอยู่แล้ว ผมก้าวออกมาจากลิฟท์ สู่ชั้นล่างของตึก มันโล่งมากไม่มีสิ่งใด ไม่มีผู้คน คล้ายโรงแรมร้างที่ไม่ได้ร้างเพราะทุกอย่างสะอาดและใหม่ ผมเดินตามผู้ที่เด็กกว่าอย่างเร่งรีบและว่าง่าย ตอนนั้นเหมือนผมจะลืมบางสิ่งบางอย่างไป จากนั้นสายตาของผมก็ได้เห็นแสง แสงแดดจ้าที่ส่งผ่านประตูกระจกเข้ามา ผมต้องหยีตาโดยทันทีก่อนจะเดินออกประตูนั้นพร้อมเด็กเหลือขอ ผมหยุดชะงักเป็นทีๆเหมือนหวาดกลัวแสงแดด เด็กเหลือขอหันมามองผม
"เธอรออยู่" เขาบอกแบบไม่จริงจัง แต่มันก็พอมีหวังให้ได้ก้าวออกไป ทันทีที่ร่างกายโดนแสงแดด ความร้อนวูบก็คือสิ่งที่รู้สึก ต่อมาความรู้สึกถึงชีวิตก็เริ่มสัมผัสได้ ผมลองเงยหน้าสู้แดดและหายใจลึกเข้าเต็มปอดเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี กลิ่นอากาศภายนอกมันช่างดีเหลือเกิน และผมรู้สึกได้ว่าแสงแดดของที่นี่ร้อนแรงเกินไปหรือเพราะผมไม่ได้สัมผัสแสงแดดมาเป็นเวลานาน ก่อนจะขึ้นรถยนต์สีดำที่จอดรอ ผมหันมามองตึกสูงที่ผมเคยอยู่ เงยหน้ามองขึ้นไปแต่ละชั้นหน้าตาเหมือนกันเมื่อมองจากภายนอก ผมเคยอยู่ชั้นที่เท่าไหร่นะ
" 18 " และผมหันไปตามเสียง
"คุณเคยอยู่ชั้นที่ 18 ถ้าอยากรู้นะ" เธอยิ้มให้ผม แล้วผมก็ยิ้มให้เธอ ตอนนั้นความดีใจและความหวังเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกได้ เธอนั่งอยู่ในรถและชะเง้อหน้าออกมาตอนที่ประตูรถเปิด เธอยังใส่ชุดเดิมจากเมื่อช่วงเช้า
"ขึ้นมาสิ" เธอบอก และผมก็ขึ้นไป ผมได้นั่งข้างเธอ ส่วนเด็กเหลือขอผมสีน้ำตาลเข้มหายไปแล้ว อาจจะนั่งข้างหน้าก็เป็นไปได้ ประตูถูกปิดโดยคนที่ผมไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้า
"เธอมารับฉันเหรอ"
"ใช่ โทษทีที่ไม่ได้ขึ้นไปรับ ฉันอยากรู้ว่าคุณจะเชื่อฟังหรือเปล่า" เธอยิ้ม "แล้วก็คือ ฉันขี้เกียจน่ะ" ผมหัวเราะ มันอาจฟังดูแปลกๆแต่นั่นคือเสียงหัวเราะนะ ผมมั่นใจ ครั้งนี้รถที่ผมนั่งมองเห็นได้ทั้งสองข้างทาง จึงได้รู้ว่าผมอยู่ประเทศอะไร ด้วยภาษาและข้อความต่างๆตามป้าย เธออธิบายนั่นนี่และชี้ทุกๆอย่าง ผมมองดูและรับฟัง เธอทำทุกอย่างเหมือนทุกอย่างนั้นปกติดี เหมือนผมเป็นคนปกติที่ไม่เคยถูกกักขัง เหมือนผมเป็นเพียงคุณลุงที่มาท่องเที่ยวและเธอเป็นไกด์นำทางที่คุยเก่ง ชั่วขณะหนึ่งผมก็รู้สึกเช่นนั้น แต่มันก็แค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น

มีคำถามมากมายที่ผมอยากจะถามเธอ แต่เชื่อเถอะว่ามีบางอย่างที่ทำให้ผมไม่ได้ถามออกไป อาจเพราะสิ่งนั้นไม่ควรเอ่ยออกมาหรือพูดออกมา บางทีผมควรเก็บมันไว้ บางทีมันอาจดีต่อเธอ แต่อย่างน้อยผมก็ได้รู้จักชื่อเธอและนั่นทำให้รู้สึกดี เธออายุ 22 ปี ซึ่งตอนแรกผมคิดว่าเธอน่าจะอายุ 18 - 20 ปี เธอถามอายุของผม ผมบอกเธอและเธอเรียกผมว่า น้า ไม่ใช่ ลุง ผมหัวเราะ. พอถึงจุดต่างๆหรือสถานที่ที่เธอเคยมาหรือชอบเธอจะบอกผมด้วยความตื่นเต้น และผมจดจำมัน. ผมถามเธอว่าเราจะไปไหนกัน เธอบอกว่าไปที่พักแห่งใหม่ เป็นโรงแรมในเครือของพวกนั้น ผมพยักหน้ารับและนิ่ง ไม่มีสิ่งใดพลุ่งพล่านเลย เธอแตะมือผม ผมมองหน้าเธอบอกว่าไม่เป็นไร. และเมื่อถึงที่หมายผมลงจากรถโดยมีเธออยู่ข้างๆตลอด ผมถามว่าเธอจะอยู่ที่นี่ด้วยไหม เธอพยักหน้า ตอนนั้นที่ผมเห็นเด็กเหลือขอผมสีน้ำตาลเข้ม เด็กหนุ่มเดินนำไปตามด้วยเธอและผม และอีกสองสามคนที่ผมไม่รู้จัก ผมเดินอย่างระแวดระวัง สายตาของผมมองไปทุกๆที่โดยไม่จับจ้องที่ใด ที่นี่เป็นโรงแรมระดับห้าดาว สวยงามและสะอาดมากๆ พนักงานโรงแรมต้อนรับเด็กเหลือขอคนนั้นด้วยท่าทีแทบจะถวายชีวิต จากนั้นเราเดินไปขึ้นลิฟท์ แน่นอนว่าลิฟท์ของที่นี่ปกติ มีแผงปุ่มกดเช่นลิฟท์ธรรมดาทั่วไป เรากำลังขึ้นไปชั้นที่ 6 เมื่อถึงที่หมายแล้วเราก็ออกเดินไปสู่ห้องหมายเลข 614 เมื่อเปิดประตูเข้าไป เด็กเหลือขอผมสีน้ำตาลเข้มก็อธิบายว่าทำอะไรได้บ้างและไม่ได้บ้าง จากนั้นผมก็เดินเข้าสู่ห้องที่กว้างขวางและโอ่อ่า มันดูแปลกสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กมาหลายปีโดยไม่เคยออกไปไหน ผมถามเธอว่าจะพักห้องไหน เธอหัวเราะและบอกว่า ก็ห้องนี้ไง เธอบอกว่ามีการตกแต่งเพิ่มใหม่นิดหน่อยมีเตียงของเธออยู่ไกล้ๆเตียงของผม อย่างน้อยเธอก็ยังอยู่ แค่นี้ผมก็ยังมีหวัง ตอนนั้นผมขอบคุณเธอ เธอบอกว่าไม่เป็นอะไร เธอขอตัวเพื่อคุยกับเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม ผมแอบดู พวกเขายืนคุยกันเบาๆ ดูไกล้ชิดกันมากกว่าหญิงชายทั่วไป พวกเขาอาจเป็นมากกว่านั้นแต่ก็ไม่ใช่ บางอย่างบอกแค่ว่าพวกเขาสนิทกัน ดูจากสีหน้าเด็กเหลือขอที่มองเธอมีแต่ความกังวลใจและไม่สบายใจ ส่วนสีหน้าของเธอมีแต่ตลกขบขันและยิ้ม จริงๆแล้วผมพึ่งได้เข้าใจ มันเป็นนิสัยของคนแบบเธอเรื่องยิ้ม มันคือลักษณะและท่าทางที่จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเวลาพูดหรือเล่า แต่นั่นมันก็ดี เด็กหนุ่มเหลือขอตบไหล่เธอเบาๆ เธอพยักหน้ารับและจากมา เด็กเหลือขอออกไปแล้ว เธอเดินมาหาผมแล้วบอกว่าจะนอนหลับพักผ่อนก่อนก็ได้ ไม่มีอะไรรบกวนผมแน่นอน และเธอยังบอกอีกว่าจะมีเสื้อผ้ามาให้ผมเปลี่ยน ผมถามเธอ
"เด็กเหลือขอคนนั้น ที่ผมสีน้ำตาลเข้ม.. เขาเป็นใคร" เธอหัวเราะก่อนตอบว่า
"เขาเป็นคนสนิท.. อืมก็ไม่เชิงนะ" เธอทำท่านึก "แต่ถ้าเป็นเรื่องประมาณนี้จะถือว่าสนิทของเขาคนคนนั้นน่ะ" เธอบอก
"แล้วเธอสนิทกับเด็กเหลือขอนั่นเหรอ?" ผมถามเธอ
"อืมม ฉันไม่ได้สนิทใจกับใครทั้งนั้นนะ ทุกอย่างที่ทำต่อกันคือมิตรภาพน่ะ เราจำเป็นต้องยื่นมิตรให้กันจากใจเพื่อสิ่งที่ต้องทำร่วมกัน อ้อแล้วถ้าจะคิดว่าเขาเป็นแฟนของฉันล่ะก็ ไม่ใช่เลยนะ" แล้วเธอก็หัวเราะราวกับว่ามันตลกมาก เธอไม่ได้โกหก แล้วผมก็ดันไปถามเธอต่อว่า
"แล้วเธอมีคนรักหรือเปล่า?" เธอนิ่งไปแล้วผมรู้สึกผิด "ไม่เป็นอะไร ฉันขอโทษที่ถามเรื่องส่วนตัว"
" มี " เธอตอบ "แต่มันก็แค่ เคยมีน่ะ เขาเป็นคนไม่ดีมากๆ และอยู่ในที่ที่ไกลออกไปกับทำเรื่องไม่ดีต่อไปตามประสาของเขา แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะเลวหรอกนะ เขาเป็นคนดีในแบบของเขา แต่เขาทำให้ฉันร้องไห้ทุกวัน ฉันเลย หนี" เธอย้ำคำว่า หนี "จากเขามา ช่วงแรกก็ปัญหาเยอะแยะ เพราะเขาดุร้ายมาก คนคนนั้นที่คุณเกลียดน่ะ ไม่ได้เทียบเท่าต่อความร้ายกาจที่คนรักของฉันมีหรอกนะ" เธอยิ้มเหนื่อยหน่ายและหลุบตาลงต่ำ ผมนิ่งเงียบไปและคิดอะไรต่อจากนั้นเกี่ยวกับที่เธอเล่ามา
"ถ้างั้น ทำไมเธอถึงเลือกคบกับเขาทั้งที่เขาไม่ดี และตอนนี้เธอเลิกกับเขาแล้วเหรอ?"
"ความรักมันก็เป็นแบบนี้แหละ บางครั้งมันก็ทำร้ายเรา บางครั้งมันก็เลือกไม่ได้เพราะรักไปแล้ว.. อืมมม คงอย่างนั้น คนอย่างพวกเราไม่ใช้คำว่าเลิกกันเท่าไหร่ จากก็คือจากกันมาไม่เจอกันอีกน่ะ" เธอตอบผม จากนั้นมีเสียงบางอย่างดังขึ้น และเธอออกเดินไปที่ประตู จากนั้นเดินกลับมาพร้อมกล่องสีน้ำตาลและถุงใสมีเสื้อผ้าข้างใน เธอบอกว่าก่อนจะไปรับผมเธอได้ขึ้นมาเตรียมของสำหรับผมไว้หมดแล้วในห้องน้ำ ส่วนของของเธอมีไม่มากนัก
"ฉันก็เคยรักกับคนที่ดีนะ ดีมากๆเขาเป็นหมอที่รักษาฉันน่ะ แต่..เขาก็ตายไปแล้ว" อยู่ดีๆเธอก็พูดขึ้นมา ผมนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง อาจจะตกใจเล็กน้อย ก่อนจะถามเธอว่า
"เธอไม่ค่อยแข็งแรง..."
"ใช่แล้ว" เธอตอบพร้อมกับหัวเราะ จากนั้นเธอก็บอกให้ผมไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมลุกขึ้นและทำตามโดยดี และระหว่างที่อาบน้ำผมไม่ได้ยินเสียงเธอเลย จึงตะโกนถามและเรียก เธอก็ขานรับ ผมจึงค่อยสบายใจ ทำไมนะผมคิด มีมากมายหลายคำถามแต่กลับเอ่ยออกมาไม่ได้ในสิ่งที่อยากถาม. เมื่อผมทำความสะอาดร่างกายเสร็จ และเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เธอก็ชมผมว่าดูดีขึ้นมาก เธอนำเสื้อผ้าเก่าของผมไปใส่ถุงใส ผมถามว่าเธอไม่อยากอาบน้ำเหรอ เธอหัวเราะแล้วผมก็เขิน เธอบอกว่าตนอยู่ในชุดที่เหมาะสมแล้วก็ยังไม่ร้อน เธอบอกว่าจะพาผมไปพักผ่อน ผมแปลกใจเลยลองตัดสินใจถามเธอว่าทำไมอะไรๆถึงดูง่าย ทั้งที่เรื่องราวที่ผ่านมามันช่างยากเย็นจนชีวิตผมแทบจบลง เธอหยุดชะงักทันทีก่อนจะทำหน้านิ่ง ไม่พอใจเหรอผมคิด
"มันไม่ได้ง่ายนะ ไม่มีอะไรง่ายเลย กับการทำให้คุณได้มาอยู่ตรงนี้" เธอพูดจริงจัง ไม่ยิ้ม และน้ำเสียงที่พูดดุกว่าเดิม ผมเลยคิดว่าบางทีเธออาจไม่ใช่เด็กสาวที่สามารถเล่นด้วยได้ตลอด
"มีอะไรที่เลวร้ายเกิดขึ้นกับเธอเพราะฉันหรือเปล่า?" ผมถามเธอ
"ฉันคือสิ่งที่เลวร้ายอยู่แล้ว.." เธอมองผม ผมเดินเข้าหาเธอและไม่รู้จะทำอะไร เธอเงยหน้ามองผม
"เธอไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเลย สำหรับฉัน"
"ก็เพราะฉันพยายามทำให้มันดี ในเมื่อฉันพยายามคุณก็ต้องพยายามนะ"
ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่มือของผมจะยื่นไปสัมผัสคอของเธอ เธอก็ยื่นมือมาจับมันแล้วบอกว่า
"แต่ตอนนี้เราต้องคุยกันก่อน"
เธอกับผมนั่งคนละเตียง เธอถามผมถึงความรู้สึกที่มี และผมตอบกลับไป ถามอีกว่าอยากทำอะไร ผมตอบกลับไป จากนั้นเธอถามผมว่าอยากกำจัดคนคนนั้นอยู่ไหม ผมเงียบไป ก่อนจะคิดได้ว่า หากเป็นแต่ก่อนคงตอบทันที แต่ตอนนี้บางอย่างของผมได้แตกหักไปแล้วก่อนหน้านี้ หรือนานกว่านี้ไม่อาจแน่ใจ ผมมองดวงตาของเธอ ตอนนี้มันกลายเป็นดวงตาคู่นั้นที่ผมเห็นในความฝันไปแล้ว และผมไม่อาจโกหกจึงบอกเธอ ว่าแค่อยากให้มันตาย แต่คงไม่มีวันทำเองได้ เธอพยักหน้าเหมือนพอใจในคำตอบนั้นก่อนจะบอกว่า มันคนนั้นจะตาย แต่ไม่ใช่จากคุณ เธอพยักหน้ามั่นใจให้ผม และไม่รู้ทำไมผมถึงเชื่อคำๆนั้นจากเธอ ผมรู้สึกสบายใจเหมือนยกบางอย่างที่แบกไว้ออกไป ยกไปให้ใครสักคน คนที่จะทำให้มันคนนั้นตาย ผมเชื่อเธอเพราะเธอแตกต่าง เหมือนไม่ใช่เด็กวัยรุ่นทั่วไป แต่เธอเหมือน... เหมือนแม่มด

แต่มันคนนั้นจะปล่อยให้ผมรอดจากไปจริงๆน่ะเหรอ
เธอจะช่วยให้ผมรอดจากอสรพิษอย่างมันได้จนถึงตอนนั้น ตอนที่ผมจะได้กลับบ้านที่ไม่มีอยู่แล้วจริงๆน่ะเหรอ

จากนั้นเธอก็เล่า เธอทำงานใช้หนี้ให้มันคนนั้น เพราะมันคนนั้นได้ให้ความช่วยเหลือคือให้คนเข้ามาช่วยรักษาเธอตอนที่เธอกำลังแย่และไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนั้น มันคนนั้นให้เธอทำข้อตกลงคือต้องทำงานแรกทันทีที่ร่างกายของเธอไหว เธอจึงยอมรับข้อตกลงนั้นแม้ว่าหัวใจจะไม่ต้องการเลยก็ตาม เธอเล่าถึงงานแรกที่ทำ และมันทำให้ผมรู้จักอีกด้านของเธอ ทั้งเรื่องเพื่อนร่วมทีมสำหรับภารกิจ ทั้งเรื่องความหิวของเธอที่น่าเห็นใจ เธอเล่าถึงงานต่อๆมา และเล่าถึงเด็กเหลือขอผมสีน้ำตาลเข้มว่าเขาไม่ใช่เด็กเหลือขอ และผมเชื่อเธอ ก็ไม่รู้ว่าทำไมจะต้องไม่เชื่อเธอ เธอเล่าถึงเรื่องราวเก่าๆในอดีตของเธอเล็กน้อย เล่าว่าเธอเองก็ไม่เคยพูดเหมือนอย่างที่ผมเป็น แค่ตรงกันข้ามตรงที่เธอไม่มีใครให้พูดด้วย และผมนิ่งฟัง เธอบอกว่าเธอไม่มีเพื่อนและอาศัยอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมและเธอเหงา เดียวดายมากๆ เธอบอกว่าหัวใจเธอเจ็บป่วย และป่วยที่จิตใจอย่างไร เล่าถึงสาเหตุที่มันเป็นอย่างย่อ ตอนนั้นที่ผมเห็นแล้วว่าเธออ่อนแอแค่ไหนและหัวใจเธอบอบช้ำมาก ผมเห็นใจเธอและมองเธอใหม่อีกครั้ง เธอเล่าต่ออีกว่าเธอไม่แข็งแรงเพราะอะไรและเจ็บป่วยเพราะอะไรและผมตกใจมาก ตกใจมากจริงๆ เธอเล่าว่าผู้เป็นแม่ของเธอทำให้เธอเกือบตายเพราะยังรับเรื่องราวพวกนี้ไม่ได้เลยปล่อยให้เธอนอนนิ่งๆและเกือบจะเน่าตาย แต่แล้วแม่ก็ทำใจยอมรับเพราะรักเธอมากกว่าสิ่งใด แต่บางอย่างของเธอก็แตกหักไปในตอนนั้นด้วยเหมือนกัน เธอเล่าเรื่องราวต่างๆมากมาย เล่าว่าตอนนี้ดีขึ้นแล้วจึงเล่าได้ ผมยอมรับเลยว่าผมสมเพชตนเองในทันทีที่ได้รับรู้เรื่องตรงนี้จากเธอ ผู้ชายอย่างผมเหมือนพึ่งทำเรื่องงี่เง่าไร้สาระมา และเด็กผู้หญิงที่ต้องพยายามหาความสุขใส่ตัวโดยไม่คิดที่จะสู้ต่ออะไรที่ทำร้ายเธอ เพราะเธอบอกว่า ทำไม่ไหว และไม่อยากทำ เธอบอกว่าเธอชอบอ่านหนังสือและรักหนักสือมาก ผมจึงพูดออกไปในทันทีว่าผมก็ชอบหนังสือ แต่ชอบเขียนมันมากกว่า ผมเขียนหนังสือเก่ง หรือพูดง่ายๆคือผมเคยเป็นครูที่น่ายกย่องมาก่อนนั่นเอง เธอยิ้ม และผมคิดอะไรได้มากมายในตอนนั้น ผมลุกขึ้นไปนั่งข้างเธอ และลองลูบหัวเธอบ้าง เธอมองหน้าผม และผมอยากสัมผัสเธอมากกว่านั้น เธอถามว่าผมอยากจูบเธอเหรอ ผมตกใจแต่ก็หัวเราะ มันคงน่าอายถ้ารู้สึกอยากมีอะไรกับเด็กสาวที่ช่วยเหลือตนเอง แถมเป็นเด็กสาวที่ค่อนข้างจะแปลก เธอหัวเราะและบอกว่า ไม่ต้องคิดมากมันเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชายและคุณคงจะไม่ได้ผ่อนคลายมานาน ผมหัวเราะ เธอบอกว่าเธอเตรียมเรื่องอย่างนั้นเอาไว้ให้แล้ว ผมเลยถามว่าเธอเตรียมผู้หญิงให้ผมเนี่ยนะ เธอไม่ได้ตอบอะไรแต่ยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ผม เธอลุกขึ้นและผมลุกตาม ผมอยากสัมผัสเธอจริงๆนั่นแหละแต่เธอเหมือนไม่สนใจ แต่กลับบอกว่าได้เวลาไปเที่ยวแล้วนะ จากนั้นก็ผละจากผมแต่ผมคว้าเอวเธอไว้ และดึงเข้ามากอด เธอไม่ได้ขัดขืนและหันมากอดผม เธอลูบหลังผมเหมือนแม่ปลอบใจลูกและตบมันเบาๆ ผมจูบคอเธอ และเธอหัวเราะก่อนบอกว่า สงสัยผมต้องไปหาสิ่งที่เธอเตรียมเอาไว้ให้ก่อนจะไปเที่ยวซะแล้ว ผมบอกว่าถ้านั่นมันหมายถึงผู้หญิงคนอื่นผมก็ไม่อยากและไม่ต้องการ ผมมีความต้องการกับเธอมากกว่าแต่ก็ทำตามเธอ ไม่รบกวนใจเธอเพราะเธอมีค่ามากกว่านั้นและฉลาดมากกว่านั้น เธอไม่อ่อนไหว ไม่โอนเอนหรือสิ่งใด เธอพาผมออกจากห้องพักและผมเชื่อฟัง. จากนั้นมันก็เหมือนความฝันเมื่อเธอพาผมไปเที่ยว ซึ่งมันคือการท่องเที่ยวจริงๆ และไม่มีอะไรจะดีและแปลกสุดไปกว่านี้อีกแล้ว ผมได้รู้เรื่องเกี่ยวกับเธอ เรื่องใหม่คือผิวหนังของเธอไม่สามารถรับแสงแดดตรงๆได้นานหรือทนต่อความร้อนที่สูงมากไม่ได้ เธอแพ้ฝุ่นละกลิ่นควันต่างๆได้ง่ายมาก เธอสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลานั่นมันคงเป็นของคู่กายเธอ เธอพาผมไปในที่ต่างๆที่เวลาอำนวยให้ ผมเห็น ผมเรียนรู้ ผมตื่นเต้นและผมทำตัวน่าอาย แต่ไม่นานก็เริ่มชินและเป็นเหมือนคนทั่วไป เธอพาผมขึ้นรถไฟฟ้าและพาผมไปเดินห้างสรรพสินค้าที่ค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่ง เธอบอกชื่อห้างนั้นกับผม. เธอพาผมทานไอศกรีมเป็นครั้งแรกในชีวิต มันอร่อยแปลกๆสำหรับผม และเธอซื้อพายให้ผม มันทำผมร้องไห้ตอนที่กัดมันคำแรก เธอบอกว่าไม่รู้ว่าจะหาพายแอ๊ปเปิ้ลจากที่ไหน นี่มันก็แค่พายสัปรดน่ะ มันอร่อย ผมบอกเธอ เธอพาผมไปร้านหนังสือ แต่ละร้านไม่เหมือนกัน เธออธิบาย พาไปดู และให้ผมตั้งคำถามได้ เธอบอกว่าร้านหนังสือสีแดงจะเป็นร้านที่เธอใช้บริการเป็นประจำ เธอชี้หนังสือที่เธออ่านแล้ว ซึ่งมันก็เหมือนเกือบหมดร้านน่ะนะผมคิดในใจ ผมสนุกมากจริงๆ แม้บางครั้งบางอย่างของผมจะหายไปและมันทำให้ผมดูขาดบางสิ่งที่อธิบายไม่ได้ มันก็ไม่สำคัญแล้ว เธอบอกผมว่าอย่าเดินสวนทางกับเวลาที่เหลือ แม้มันจะเหลือน้อยก็ตาม ผมจึงทำตามนั้น. เมื่อผมสังเกตุเห็นเธอเดินช้าลงจึงถามว่าอยากพักก่อนไหม เธอพยักหน้ารับ และเรานั่งพักกันตรงจุดที่มีเก้าอี้ไม้ให้พัก เธอบอกว่าหิว(อีกแล้ว) เธอลุกขึ้นขอตัวไปหาซื้อน้ำอร่อย(เธอเรียกแบบนั้น) ผมจึงนั่งรอคนเดียว ผมรู้ว่าเราถูกจับตามอง ไม่สิมันคือผมที่ถูกจับตามองต่างหาก ก็คงยากหากจะปล่อยผมอย่างง่ายดาย ผมสนใจมันน้อยลงและคิดเกี่ยวกับเธอแทน ผมรับรู้ความรู้สึกใหม่ๆ และคิดเกี่ยวกับตนเอง แบมือทั้งสองข้างและมองดู คิดถึงอดีตแล้วผมก็ตัดมันทิ้งไป แม้ว่าเธอจะเรียกอดีตผมกลับมาจนเกือบหมดแล้วในตอนนั้น แต่ผมก็ยังไม่อยากตอบรับมันเร็วนัก. เธอกลับมาพร้อมกับน้ำอร่อยสองแก้ว และถุงในมือ เธอยื่นแก้วหนึ่งให้ผม ผมรับมา มันคือกาแฟ ผมจิบมันและมันอร่อยมาก เธอบอกว่าลองเดาว่าผมอาจชอบกาแฟหรือถ้าไม่เคยลองก็น่าจะชอบเมื่อได้ลอง แต่เธอบอกว่าเธอไม่ดื่มกาแฟแม้ระยะหลังมานี้กลิ่นของมันเริ่มจะหอมบ้างแล้ว ผมชอบกาแฟ แต่ก็ไม่มีกาแฟที่ไหนอร่อยเท่าที่บ้านเกิดของผม และผมหยุดคิดถึงมัน. เธอมองดูเวลาผ่านมือถือและบอกว่ากลับกันเถอะ ผมก็ทำตามเธอ และเราเดินทางกลับ. เมื่อมาถึงห้องพักของโรงแรมเธอขอตัวอาบน้ำทันทีและผมก็นั่งพัก และนอนคิดอะไรต่างๆบนเตียง ผมเหนื่อยล้ามากอาจเพราะได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ แต่บางอย่างของผมกลับรู้สึกดีแม้บางอย่างของผมจะหายไป มันคืออะไรที่อธิบายไม่ได้ ถ้าถามเธอ เธออาจบอกได้ แต่ผมก็ไม่ได้ถามเธอเหมือนกับเรื่องอื่นๆที่ไม่ได้ถามออกไปแม้ใจจะอยากทำ เธอออกจากห้องน้ำมาแล้ว ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ ดูน่ารักแต่มันก็ยังคงเป็นสีดำอยู่ดี ผมถามเธอเล่นๆว่าชอบสีดำเหรอ เธอตอบว่าเปล่า แต่เธอเป็นวัยรุ่นที่เท่ห์ ผมงงๆกับคำนั้นแต่ก็ช่างเถอะ บางทีวัยรุ่นพวกนี้อาจนิยมสีดำถ้านึกถึงสิ่งที่เคยพบเจอรวมถึงผู้คนที่ผ่านมา ผู้คนแบบคนพวกนี้มักนิยมสีดำเสมอ เหมือนที่-ที่ผมพึ่งจากมา-ที่เปลี่ยนแปลงให้ผมทำอะไรก็ได้ที่หลั่งเลือด. เธอเดินมาหาผม พร้อมกับขนมในมือและถุงที่ใส่บางอย่าง เธอคงหยุดทานอะไรไม่ได้จริงๆแหละนะผมคิด เธอนั่งลงที่เตียงของผม ผมลุกขึ้นนั่ง เธอยื่นถุงในมือให้ผม ผมรับมาและเปิดดู และมันทำให้ผมยิ้มกว้าง... มันคือสมุดสีน้ำเงินเข้มเล่มหนา ขนาดมันไม่ใหญ่มาก กำลังดี พร้อมกับดินสอไม้หนึ่งซองมีสี่แท่งและยางลบสองก้อนใหญ่กับเล็ก มีปากกาให้หนึ่งด้าม ผมหยิบมันออกมาอย่างเบามือราวกับว่ามันหักหรือพังได้ง่าย
"คุณบอกว่าชอบเขียนหนังสือ" เธอยิ้มจากใจให้ผม "ฉันเลยซื้อสมุดให้คุณ ก็ใช้เวลาเลือกอยู่นะ ไม่รู้ว่าคุณจะชอบแบบไหน แต่ฉันก็เลือกซื้อแบบที่ตนเองชอบ แล้วค่อยมาอ้างว่า มันเป็นของขวัญจากฉันเอาไว้นึกถึงน่ะ" เธอหัวเราะ ผมชอบมันมากนะ ผมบอกเธอและเปิดดู สัมผัสมัน นานแค่ไหนแล้วนะ มันนานแค่ไหนแล้ว... น้ำตาผมไหลอีกครั้ง เธอมองดูและเช็ดให้ผม ผมขอบคุณเธออีกครั้ง เธอบอกให้ผมลองเขียนอะไรสักอย่างดู มันจะช่วยได้ จากนั้นเธอรีบลุกเดินหายไปและรีบกลับมาพร้อมกับกระดาษสีขาวไม่มีลายเส้น เธอให้ผมลองเขียนอักษรต่างๆดู เพราะเห็นว่าผมไม่ได้เขียนอะไรมานานมาก ผมทำตาม และมันดูไม่ค่อยคล่องอย่างที่เธอคิด แต่ไม่นานก็ทำได้ดี ผมยังเขียนหนังสือได้ เธอหยิบสมุดเล่มใหม่ของผมไป และขอปากกามาเขียน เธอเขียนลงในหน้าหลังสุดท้าย
..
ไม่มีที่ที่สายไปแล้วสำหรับคนที่ยอมรับแล้วซึ่งทุกสิ่ง
วันหนึ่งเราได้พบกัน วันนั้นมันเป็นวันที่ดี
วันนี้เราได้พูดคุยกัน และเราอาจจากลาเพียงเพื่อพบกันใหม่
อย่าร้องไห้เลย
ไม่มีสิ่งใดที่น่ากลัว เมื่อคนเราถูกปลดปล่อยแล้ว
ขอให้ความสุขอยู่กับคุณ และอย่ากลัวที่จะมีความทุกข์
ขอเส้นทางสายใหม่จงเกิดขึ้น
..
เธอเขียนชื่อของเธอลงท้ายข้อความนั้นก่อนจะเขียนเสริมว่า สมุดเล่มนี้จากเธอ มันเป็นของขวัญมอบให้ผม ลงวันที่ และเวลาชัดเจน พร้อมทั้งเมืองและประเทศ ผมรู้สึกดีและใจหาย "ความเศร้ามีพร้อมความสุขเสมอ" เธอเอ่ยขึ้นมา เธอคืนสมุดให้ผมและบอกว่า พรุ่งนี้ผมจะได้เดินทางกลับ ค่ำนี้จะมีเอกสารสำหรับการเดินทางและเอกสารหลักฐานอื่นๆที่ผมจำเป็นต้องใช้ทุกๆอย่างรวมถึงเงินจำนวนหนึ่งมาให้ผม เธอบอกว่ามันเป็นของปลอมทั้งหมดแต่ปลอมระดับS ก็ไม่ต้องกังวลสิ่งใด ผมจะได้รับชื่อใหม่ในการเดินทาง เธอบอกว่าชีวิตผมมีแต่ความจริงที่จริงจังมามากแล้ว หัดปลอมแปลงนั่นนี่ซะบ้างแล้วเธอก็หัวเราะ ผมก็หัวเราะเหมือนกัน. จากนั้นเธอเขยิบเข้ามาไกล้ผมพร้อมกับพูดเบาๆเหมือนกลัวใครจะได้ยินว่าผมคงไม่มีที่ให้ไปแล้วสำหรับคนที่เหมือนมีบางอย่างขาดหายไป เธอบอกว่ามีที่ที่แนะนำสำหรับผม เหมาะกับผม ให้ผมไปพักที่นั่นก่อนเริ่มชีวิตใหม่ เธอเขียนมันลงบนกระดาษที่เราเขียนเล่นกันและฉีกมัน เธอพับและรีดกระดาษอย่างดี เธอพูดที่อยู่นั้นออกเสียงก่อนจะบอกให้ผมท่องจำให้ขึ้นใจ และบอกวิธีไปแบบทางลัด ผมจำขึ้นใจได้ง่าย เพราะผมดีใจที่มีที่ให้ไป ไม่ว่าที่นั่นจะเป็นที่ไหนแค่เธอบอกผมก็เชื่อใจ. จากนั้นเธอขอตัวไปจัดการธุระ ผมกังวลใจทุกครั้งที่เธอออกห่าง กลัวเธอจะหายไป แต่เธอทำปกติเหมือนทุกครั้งและบอกจะกลับมาพร้อมอาหารค่ำผมก็เบาใจ เธอบอกให้ผมลองใช้สมุดนั่นดู ลองเขียนสิ่งต่างๆ เมื่อเธอจากห้องพักไป ผมก็เริ่มเขียนมัน... 

เธอกลับมาพร้อมมื้อค่ำจริงๆ เธอนำอาหารมาจัดวางบนโต๊ะอาหาร แต่แล้วเธอก็ขอให้ผมช่วยยกโต๊ะไปไว้ที่ระเบียง ผมก็ทำตามและมันก็ดีใช้ได้ ห้องพักนี้ระเบียงกว้างขวางและมองเห็นวิวของเมืองเป็นอย่างดี มีแม่น้ำ เธอบอกชื่อของมันราวกับได้ยินผมคิดนั่นนี่หรือสงสัยอะไร แต่มันก็ดีแหละนะ. เรานั่งทานอาหารด้วยกัน อาหารพื้นบ้านของประเทศนี้อร่อยมาก มันมาจากครัวของโรงแรม เธอบอกว่าโรงแรมนี้มีร้านอาหารชื่อดังข้างล่าง อาหารที่นี่เลยอร่อยมาก ผมทานเยอะมากจริงๆแต่เธอก็ทานเยอะด้วย เราคุยกันมากมายและเลี่ยงที่จะไม่พูดเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ. เมื่อทานอาหารเสร็จ ทุกอย่างถูกจัดเก็บเรียบร้อยเธอให้ผมไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย เธอมีเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ผม และผมทำตามเธอ ผมตะโกนเรียกเธอเวลาอาบน้ำ เรียกชื่อเธอ เธอขานรับตลอดและผมได้ยินบางอย่าง เสียงผู้หญิงอีกคนหรือเปล่านะ. พอเสร็จจากธุระส่วนตัวผมก็ออกมาพร้อมเสื้อผ้าตัวใหม่ และนั่นคือเจ้าของเสียง ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ผมนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะคิดได้ว่านี่คงเป็นสิ่งที่เธอพูดไว้ว่าเตรียมบางอย่างให้ผม ผมมองไปที่หล่อน ช่างแตกต่างจากบรรดาผู้หญิงที่ขายช่วงล่างทั่วไปหรือที่ผมเคยเจอ แตกต่างจากที่เคยได้ลอง หล่อนเหมือนเด็กสาวทั่วไป เหมือนไม่เคยด่างพล้อย เธอทักทายผมและหัวเราะร่าก่อนจะบอกว่าผมอึ้งในความงามของเพื่อนเธอเป็นแน่ เพื่อนเหรอผมคิดคำนั้นในใจ เธอแนะนำว่าหล่อนเป็นเพื่อนของเธอเอง หล่อนทักทายผมอย่างง่าย ธรรมดา หล่อนสวยน่ารักและผิวพรรณดี หุ่นหล่อนดีมากและสูงเท่าผม ช่างแตกต่างจากเธอโดยสิ้นเชิง เธอหัวเราะก่อนบอกว่าอย่าเปรียบเทียบอะไรในใจเกี่ยวกับฉันนะมันน้อยใจ ผมเลยหัวเราะบ้าง ก่อนเธอจะขอตัวมาคุยกับผมสองคน หล่อนก็นั่งเรียบร้อยแถมมีหนังสือมาอ่านรออีกด้วย เธอบอกผมว่า เพื่อนเธออาจดูเหมือนหญิงขายบริการแบบที่คุณเลยใช้บริการกับเคยเจอ แต่เพื่อนของเธอแตกต่างมาก แตกต่างออกไป หล่อนมาจากที่.... เธออธิบายและผมเข้าใจ เข้าใจแล้วว่าหล่อนเป็นผู้หญิงระดับไหนแม้จะต้องนอนกับผม หรือมาบริการผม. ผมบอกเธอว่าไม่จำเป็นเลยแต่เธอกลับบอกว่า เธอเข้าใจผู้ชาย และเข้าใจผม อย่าฝืนและผมต้องทำตามใจและพักผ่อนอย่างผู้ชายบ้าง ผมควรจะเขินอายดีไหมที่มีเด็กสาวมาพูดแบบนั้นกับผม แต่ไม่หรอก เหมือนผมรู้จักเธอมากกว่านั้นไปแล้วผมพยักหน้ารับและยอมรับว่าตื่นเต้นมาก เมื่อเธอขอตัวออกไปผมเห็นเธอถือถุงขนม(อีกแล้ว)ติดมือไปด้วย จากนั้นผมอยู่กับหล่อนสองคน หล่อนบอกชื่อตนเองกับผม ผมก็บอกชื่อของผมไป หล่อนพยักหน้ารับและปิดหนังสือ หล่อนเดินมาไกล้ผมและถามว่าผมต้องการเมื่อไหร่ก็ได้เสมอ หล่อนไม่รีบร้อนและไม่ได้เคี่ยว ไม่รุกก่อน หล่อนดูจะเป็นผู้ดีจริงๆนะ ผมอยากลองคุยกับหล่อนดูก่อนแม้ว่าบางอย่างในกายผมจะถูกปลุกให้ตื่นแล้วก็ตาม หล่อนคุยดี ฉลาดและตลก หล่อนไม่ฝืนและดูเป็นธรรมชาติ แค่เพียงเคลื่อนไหวร่างกาย ใจผมก็หวั่นไหวไปด้วย เหมือนหล่อนจะรู้งานจึงลุกมาไกล้ผมและตอนนั้นผมก็เป็นฝ่ายรุกทันที หล่อนเร่าร้อนมากและผมเป็นฝ่ายทำให้หล่อนพอใจก่อน หล่อนชอบสิ่งที่ผมทำและผมชอบมันมากกว่า ในเมื่อหล่อนต้องมานอนกับคนอย่างผม ผมก็อยากทำให้ดี จากนั้นหล่อนก็เป็นฝ่ายรุกและให้ตายเถอะ หล่อนชอบเป็ยฝ่ายรุกและมันทำให้ผมแทบขาดใจ จูบของหล่อนดีเหลือเกิน เนื้อหนังของหล่อนที่ผมลูบไล้ บีบเค้นมันสุดยอดมาก สำหรับเรื่องอย่างนี้หล่อนแตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่ผมเคยสัมผัสจริงๆ ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่หล่อนทำให้ผมมีความสุข ไม่รู้จริงๆ และผมก็เริ่มเป็นฝ่ายรุกที่ดุร้ายบ้าง หล่อนยอมเพราะผมมาดร้ายใส่และหล่อนชอบ ผมก็ชอบมัน เกมส์ยังดำเนินต่อไป จนมันสิ้นสุดลงตอนไหนผมก็ไม่อาจรู้

เมื่อหล่อนกำลังจะจากไปผมใส่เสื้อผ้าให้หล่อน สวมบราให้และจูบหน้าอกหล่อน เหมือนหล่อนดูจะพอใจจึงจูบคอผม. ผมถามหล่อนว่าเป็นเพื่อนกับเธอเหรอ หล่อนตอบว่าใช่ แต่ก็บอกว่าเธอไม่ค่อยรับใครเป็นเพื่อนเท่าไหร่สำหรับเธอหล่อนอาจเป็นเพียงแค่มิตรเฉยๆ ผมพยักหน้าและถามว่าพอจะรู้ไหมว่าเธอมีปัญหาอะไรบ้างกับมันคนนั้น หล่อนบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน แล้วบอกอีกว่าเธอมักชอบท้าทายมันคนนั้นเพราะไม่ยอมก้มหัวให้ เธอเป็นคนหัวแข็ง หัวรั้น ผมพยักหน้ารับ ผมถามอีกว่ามันคนนั้นทำร้ายเธอไหม หล่อนลองนึกและบอกว่าอาจมีบ้าง เหมือนสั่งสอนเธอแต่ก็จะทำต่อเมื่อเธอทำให้เขาเคืองหรือไม่พอใจก่อน ผมถามว่ารู้อะไรเกี่ยวกับผมและมันคนนั้นไหม เธอส่ายหน้าผมจึงเริ่มเข้าใจ หล่อนมาทำในสิ่งที่ต้องทำจริงๆ แต่หล่อนกลับบอกอีกว่าไม่รู้อะไรมากก็จริง รู้แต่ว่าเธอลำบากเพราะผมมาก เธอทุ่มเทกับงานนี้มากและที่ต้องทุ่มเทก็เพราะต้องการให้ผมอยู่รอดในตอนจบ ซึ่งมันก็ยากมากจริงหรือไม่ เธอถามผมก่อนจะบอกต่อว่า คนที่มีปัญหากับมันคนนั้นไม่เคยได้อยู่รอด ผมก็เห็นด้วยจึงสงสัยว่าทำไมมันคนนั้นถึงยอมทำตามเธอให้ผมยังอยู่ได้ถึงตอนนี้ เพราะอะไรนะ. เมื่อหล่อนกลับไป ผมยืนคิดอะไรคนเดียวอยู่ตรงระเบียง ผมมองลงข้างล่างและเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้า ผมหลับตา... ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วผมเคยบินลงจากที่สูง และดิ่งลงสู่เบื้องล่าง อาจเพราะเรื่องของผมยังมีต่อ ชีวิตผมจึงไม่ได้จบลงที่ตรงนั้น และวันนี้ผมอยู่ที่นี่. ผมกลับเข้ามาข้างใน เดินตรงสู่ห้องนอน ผมหยิบสมุดและดินสอมาเขียนมันต่อ.

เธอกลับมาพร้อมเอกสารต่างๆ มีรูปถ่ายของผมมากมายที่ผมไม่ได้ไปถ่ายเองสักใบ หนังสือเดินทางและอื่นๆมากมาย เธอบอกว่าเธอไม่ค่อยรู้เรื่องเอกสารพวกนี้เพราะไม่ค่อยได้เดินทางแบบคนปกติทั่วไปบ่อยนัก แต่ก็พยายามบอกให้ผมเข้าใจ ผมบอกว่าทำได้และเข้าใจเนื่องจากผมต้องเดินทางบ่อยตอนยังอยู่อีกที่หนึ่งก่อนมาที่นี่ เธอเอากระเป๋าเดินทางมาให้ผม ภายในนั้นใส่เสื้อผ้ามาให้พร้อมหมดแล้ว และอะไรอีกบ้างผมก็ไม่ได้ดูจนทั่ว เธอทำให้ผมทุกอย่างจริงๆ ผมดึงแขนเธอลงมานั่งข้างๆกันและถามคำถาม
"ทำไมมันถึงปล่อยฉันได้ง่ายๆ ก็ใช่ที่เธอบอกว่ามันไม่ได้ง่าย.. แต่ช่วยบอกหน่อยได้มั้ยว่าเพราะอะไรมันถึงยอม" เธอทำหน้าไม่พอใจ และถอนหายใจก่อนจะบอกว่า
"บางเรื่องมันก็เป็นเรื่องที่อธิบายยาก เราต่างก็มีอาวุธลับส่วนตัวเอาไว้ฟาดใส่กันยามจำเป็นน่ะ เมื่อถึงเวลาฉันก็งัดมันออกมาใช้กับเขา เขาก็เกือบไม่ยอมหรอกนะ แล้ววิธีนี้ก็คงใช้ได้แค่ครั้งนี้ ครั้งต่อไปก็คงไม่มีแล้ว" เธอบอกผม 
"มันทำร้ายเธอบ้างมั้ย?" ผมถามอย่างรวดเร็ว เธอพยักหน้าเหมือนไม่สนใจ 
"ก็มีบ้าง มันเป็นเรื่องเล็กสำหรับฉันนะ คือแบบว่าชีวิตฉันมันมีปัญหาตามร่างกายอยู่ตลอดเรื่องเจ็บตัว"
ผมเรียกชื่อเธอ เธอมองมา "ฟังนะ มันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว.. มันไม่จำเป็นแล้ว หากฉันจะต้องตาย ฉันก็ได้ยอมรับมันแล้ว แค่ขอให้เธออย่าทำอะไรที่ต้องเหนื่อยหัวใจเพียงเพราะมาช่วยคนอย่างฉันเลย.. นะ" ผมบอกเธอจากใจจริง เธอยื่นมือมาลูบแก้มผม 
"ชีวิตคุณจริงจังมามาก" เธอพูด "คุณพึ่งได้รู้จักคำว่ารักไม่นานก็ต้องเสียมันไป มันอาจจะไม่กี่ปีแต่เชื่อเถอะว่าความสุขมันเร็วเสมอ คนที่แสนดีและน่านับถืออย่างคุณต้องถูกเปลี่ยนเป็นอื่นและหลงลืมตนเองไปมันเลวร้ายมากนะ และฉัน" เธอยกมือทาบหน้าอกตัวเอง "ยินดีช่วยหากทำได้ ชีวิตฉันมันสักนัก ฉันอยากช่วยชีวิตคนอื่น มันตลกนะที่ฉันอยากถูกทำร้าย ฆ่าให้ตายมากกว่าต้องมานอนป่วยตายน่ะ" บอกแค่นั้น เธอก็รีบก้มหน้าลงและเก็บของบนเตียงโดยไม่สนใจจะพูดอะไรต่อ ผมบอกเธอว่าขอโทษ และเธอก็ขอโทษผมกลับเช่นกัน. คืนนั้นเธอเข้านอนพร้อมกับผม เธอนอนเตียงที่อยู่ข้างเตียงของผม ผมนอนมองเธอ มองผู้หญิงที่พึ่งเจอไม่ถึงหนึ่งวันเต็มกลับมีอิทธิพลต่อผมได้มากมาย. เธอนอนตะแคงข้างหันหลังให้ผม ก่อนหน้านี้เธอเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถือ เธอบอกว่าเล่นเกมส์นี้มานานแล้ว เธอชวนผมเล่นแต่ผมปฏิเสธเธอไป ตอนนี้เธอนอนนิ่ง-บ้างก็พลิกไปมาเหมือนเด็กน้อย ผมลุกขึ้นมาหยิบสมุดและดินสอจากนั้นผมเขียนมันต่อ... ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เธอนอนมองผม เธอบอกว่าปกติเธอจะหลับช่วงตีสี่หรือตีห้า เหตุมาจากเธอมักจะฝันร้ายและกลัวการนอนหลับ นี่เป็นเรื่องใหม่ที่ผมรู้ ผมเก็บสมุดและดินสอ จากนั้นผมลุกไปที่เตียงของเธอ เธอไม่ได้ห้ามแค่ทำหน้าสงสัยใส่ผม ผมบอกว่าไม่ทำอะไรเธอแน่นอนแค่อยากนอนเตียงเดียวกับเธอ เธอบอกว่าเธอรู้และไว้ใจผม ผมขึ้นไปนอนข้างๆเธอและขอนอนกอดเธอ เธอไม่ได้ว่าอะไรและนอนเฉยๆ ผมกอดเธอ ตัวเธอมันช่างเล็กมากแต่สัมผัสนั้นมันช่างอบอุ่นเหลือเกิน ผมจูบผมของเธอ กระซิบที่หูของเธอ เธอเป็นแม่มดหรือเปล่า ตอนนั้นที่เธอหัวเราะร่าอย่างจริงจังก่อนจะพลิกตัวมามองผม อาจใช่ เธอยิ้มแล้วผมก็จูบหน้าผากเธอ มิน่าฉันถึงแพ้ทางเธอง่ายนัก เธอเป็นแม่มดนี่เอง เธอไม่ตอบคำพูดนั้นของผม แต่หัวเราะ ก่อนจะบอกราตรีสวัสดิ์ ผมก็บอกเธอเช่นกัน ไม่นานจากนั้นเธอก็หลับ ยามหลับปากเธอจะเผยอเล็กน้อย ผมจูบเธอเบาๆที่หัวไหล่ ขมับ และผมของเธอเบาๆอยู่บ่อยครั้ง ผมยังคงนอนกอดเธออยู่อย่างนั้น ทุกอย่างเงียบ ผมนอนเล่นผมของเธอ เส้นผมเธอพันรอบนิ้วของผม ผมนอนไม่หลับอยู่แล้ว เวลาที่จะเสียไปหากผมหลับนั้นมันมีค่าเมื่อพรุ่งนี้ผมต้องไปจากที่นี่. ผมล้มเลิกอะไรในใจไปบ้างไม่อาจคิด บางอย่างของผมอ่อนแอและพังไปแล้ว บางทีการเดินทางไปยังที่ที่เธอบอกอาจช่วยเยียวยาผม ถ้าผมสามารถไปถึงที่นั่นได้อย่างราบรื่นจริงๆ
..
........................................................................................................
......................................
บทที่ 1 , 3(จบ) ลิ้งค์อยู่ด้านบนซ้ายมือ
............................................................
©salinsiree
...

If you have any questions, or would like to talk, contact me!

salinsiree.witchy@yahoo.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น