เล่าหนังสือ : มีดของท็อดด์ THE KNIFE OF NEVER LETTING GO



มีดของท็อดด์ THE KNIFE OF NEVER LETTING GO
ผู้เขียน : PATRICK NESS
ผู้แปล : วรรธนา วงษ์ฉัตร
สนพ. Words Wonder
.
หนังสือเล่มนี้จะบอกเล่าเรื่องราวในโลกที่มีชื่อว่า นิวเวิลด์
เดินเรื่องโดย ท็อดด์ ฮิววิตต์ เด็กชายอายุ 12ปี กับอีก 12เดือน ที่อาศัยอยู่ในเมือง เพรนทิสทาวน์ และยังเป็นเด็กชายคนสุดท้ายที่กำลังจะเป็นผู้ใหญ่ในอีก 1เดือน ตามเวลาที่เมืองนี้กำหนด (13เดือน = 1ปี)
.
เพรนทิสทาวน์ มันเป็นสถานที่-ที่ทุกคนสามารถได้ยินความคิดของคนอื่น (รวมถึงสัตว์) เป็น ‘เสียงคิด’ ที่ท็อดด์เข้าใจเพราะถูกบอกเล่า-ปลูกฝัง ว่ามันคือ ‘เชื้อโรคเสียงคิด’ ที่สแป็คเกิลปล่อยออกมาในช่วงสงคราม เชื้อโรคเหล่านี้ได้ฆ่าผู้ชายไปเกือบครึ่ง และฆ่าผู้หญิงทุกคน รวมถึงแม่ของท็อดด์ และท็อดด์เข้าใจทุกอย่างแบบนี้ และเบนกับคิลเลียนผู้ที่รับท็อดด์มาเลี้ยงดูก็บอกกับเขาแบบนี้  ท็อดด์ไม่รู้หรอก ว่าอะไรคือเรื่องจริงบ้าง แต่เขาก็ 'อยู่' กับความเชื่อในเรื่องเหล่านี้
.
และเติบโตมากับเสียงคิดที่ดังอย่างมันไม่มีวันหยุด แม้ในยามที่ทุกคนหลับสนิท ที่นี่ไม่มีความลับ ไม่มีความเป็นส่วนตัว ทุกอารมณ์จะถูกส่งเป็นกระแสผ่านคำนึกคิด แล้วถูกปล่อยออกมาเป็นเสียงคิด มันไม่สนุกหรอก ที่ต้องได้ยินเสียงคิดเหล่านี้ มัน มะง่ายสักนิดที่ต้องเติบโตมาในสถานที่ ‘เน่าเฟะ’ แบบนี้ อย่างที่ท็อดด์เองก็ไม่สนุก รวมถึงไม่สุขใจด้วยเช่นกัน เขามักจะเหนื่อยหน่ายเสียงของผู้คนกับความคิดที่พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองคิดแม้ในขณะที่ทุกคนได้ยิน ท็อดด์มักจะคิดเสมอว่าพวกเขาทนกันและกันได้ยังงัย…
.
'มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เสียงดังหนวกหูมาก'
.
บางครัั้งท็อดด์ใช้เวลากับแมนชี่ (หมาพูดได้ของท็อดด์) ออกไปเดินที่บึงน้ำทางป่าตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง มันเป็นที่เดียวที่อยู่ไกลจากเมือง ดังนั้นมันจึงห่างไกลจากเสียงคิดที่วุ่นวายไม่รู้จบ สำหรับท็อดด์ บึงน้ำเปรียบเสมือนห้องขนาดใหญ่แสนสบายที่ไม่มีเสียงคิดดังเท่าไรนัก ‘มันมืดแต่มีชีวิต มีชีวิตแต่เป็นมิตร เป็นมิตรแต่ไม่ครอบครอง'
.
และที่บึงน้ำนี่เอง… ที่ทำให้ชีวิตของท็อดด์เปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อเขาได้พบกับความเงียบงันที่แสนประหลาด มันคือช่องโหว่ในเสียงคิด เป็นความเงียบงันแรกในชีวิตที่ท็อดด์ได้สัมผัส มันทำให้ท็อดด์เจ็บปวด และสับสนราวกับร่วงหล่นสู่ความเคว้งคว้างที่เขาไม่มีวันรู้จัก
.
เขาออกตามหา ‘ความเงียบ’
แต่มันว่างเปล่า
.
และความเงียบนี้คือจุดเริ่มต้น เมื่อมีเหตุให้ท็อดด์ต้องหนีออกไปจากเมือง ไปจากสถานที่เดียวที่เขารู้จักมาตลอดชีวิต เพียงเพราะเบนกับคิลเลียนบอกว่าเขาอยู่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว มันอันตราย และเขาจะไม่มีวันได้กลับมา… ท็อดด์ผู้มองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ (แม่ม! ไม่ยุดติทำ) และพยามจะบอกว่า เขาไม่รู้เรื่อง ห่า' อะไรเลย แต่… ก็ไม่มีใครบอกอะไรเขา 'ความรู้เป็นเรื่องอันตราย' เบนบอกอย่างนั้น
.
พร้อมกับยื่นสมุดบันทึกของแม่ท็อดด์ แผนที่ ที่ท็อดด์ไม่มีวันเข้าใจเพราะอ่านหนังสือไม่ออก และยังให้มีดล่าสัตว์เล่มใหญ่ที่ท็อดด์อยากได้เป็นของขวัญในวันเกิดที่จะถึงนี้... ‘เธออาจต้องใช้มัน’ เบนพูด
.
ท็อดด์กับแมนชี่มุ่งตรงไปไล่ล่าความเงียบงันกันอีกครั้ง และในครั้งนี้พวกเขาได้เจอ 'ไวโอล่า' เด็กหญิงเจ้าของความเงียบ ที่ยานอวกาศของเธอมาตกไกล้กันกับเมืองนี้ ท็อดด์กับแมนชี่ประหลาดใจมากที่ได้เห็นผู้หญิงเป็นครั้งแรก รวมถึงไวโอล่าเองก็ประหลาดใจระคนหวาดกลัวสุดขีดไปกับสถานที่แปลกประหลาด และเสียงคิดมากมายร้อยแปดที่พุ่งเข้าใส่เธอ เธอกลัว เธอไม่เข้าใจ เธอสับสน และเธอไม่พูด… ท็อดด์เองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม.. เธอ …ถึงไม่พูด
.
และพวกเขาจะไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก เมื่อทั้งท็อดด์ แมนชี่ และไวโอล่า มีเหตุให้ต้อง 'หนี' ไปด้วยกัน พวกเขาต้องหนีจากการไล่ล่าของนายกเทศมนตรีเพรนทิสกับกองทัพของเขา และหนีจากนักบวชแอรอนผู้บ้าคลั่ง เน่าเฟะ และโคตรจะ 'บัดซบทางจิตใจ'
.
และการหนีของทั้งสามนี้ คือ จุดสำคัญของเรื่อง
.
Patrick Ness ได้สร้างเด็กชายท็อดด์ขึ้นมาเดินเรื่องของผู้ใหญ่ ดังนั้นจากมุมมองในความเป็น 'เด็กชาย' ของท็อดด์อาจย้อนแย้งและขัดใจนักอ่านบางคน (หนึ่งในนั้นคือฉันเอง..) เนื่องจากคุณต้องอ่านความคิดของท็อดด์ไปตลอดทั้งเรื่อง (หงุดหงิดโว้ย...) มันก็ต้องมีบางเรื่องที่คุณหงิดหงิดกับความคิดของเด็กชายท็อดด์ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะถ้าคุณค่อยๆทำความเข้าใจ คุณจะรู้ว่าผู้เขียนได้สร้างตัวเอกที่เป็นเพียงเด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งเติบโตมากับสิ่งที่เขาคิดว่าควรเชื่อ โดยไม่เคยรับรู้มาก่อนว่ามีอะไรบ้างในสิ่งที่เขารู้นั้นคือความจริง และยังมีความจริงอะไรอีกบ้างที่เขายังไม่รู้ 
.
ซึ่งท็อดด์ก็ต้องเรียนรู้ด้วยตนเองจากการ -หนี
หนี คือจุดเติบโตของท็อดด์ เพราะโลกมันจะค่อยๆใหญ่ขึ้นสำหรับท็อดด์ที่ต้องออกไปเจอโลกกว้าง นิวเวิลด์ที่ท็อดด์เคยคิดว่ารู้จัก ก็อาจไม่ใช่อย่างที่รู้จักไปตลอดเส้นทาง ทั้งการพบเจอผู้คนใหม่ๆ ถิ่นฐานใหม่ๆ ข้อมูลใหม่ๆที่หลั่งไหลเข้ามาหาท็อดด์
.
และโดยที่ท็อดด์ยังมีดวามเป็นเด็กชาย ก็อาจต่อต้านความเชื่อใหม่ๆที่เป็นเรื่องจริงด้วยการถกเถียงด้วยความดื้อรั้นว่าตนเองนั้น 'รู้ดี' แม้ลึกๆเขาเองก็ยังไม่ค่อยมั่นใจว่าตนนั้นรู้เรื่องจริงอะไรบ้าง นอกจากคำลวงที่ถูกบอกเล่ามาให้จดจำ ซึ่งจุดนี้ที่ทำให้อ่านแล้วรู้สึก 'โคตรหงุดหงิด' ไปกับความ 'งี่เง่า' ของเด็กชายท็อดด์ แต่นั่นคงเป็นจุดที่นักเขียนต้องการบอกเล่า
.
เล่าว่า ตัวเอกต้องเริ่มจากการไม่รู้ ห่า-อะไรเลย จากนั้นผู้เขียนจะค่อยๆปล่อยตัวเอกออกไปเจอโลก และไม่ใช่ออกไปเจอโลกเชิง 'ทัดสะนะสึกสา' แต่เป็นการออกไปเจอโลกด้วยการ วิ่งหนี-หนีตาย-หนีเอาตัวรอด แถมด้วยการเพิ่มตัวละครที่อยู่ตรงข้ามกับสิ่งที่เด็กชายเป็น คือ เด็กผู้หญิง และเมื่อเด็กผู้หญิงที่มีความเงียบงัน กับเด็กผู้ชายที่มีความคิดเสียงดังตลอดเวลามาพบกัน ร่วมทางไปด้วยกัน สู้ไปด้วยกัน การพัฒนาตัวละครก็จะมีให้เห็นในแต่ละหน้า แม้ว่าเด็กผู้หญิง 'ไวโอล่า' จะทำให้เรารู้ไม่พอใจในช่วงแรกๆ คือ การที่เธอไม่ยอมพูด เอะอะ-รู้สึกไม่ดีอะไร ก็จะไปนั่ง 'โยกตัว' เหมือนเด็กปัญญาอ่อน.. ซึ่งมันเป็นความรู้สึกส่วนตัวที่เกิดขึ้น แต่พออ่านแต่ละหน้าผ่านไป ไวโอล่าพัฒนาขึ้นและ ''ดี๊ดี'' กว่าท็อดด์เยอะแยะในภายหลัง เราจึงให้อภัยได้ ส่วนท็อดด์ก็เริ่มงี่เง่าน้อยลงบ้างหลังจากยอมรับ 'เรื่องที่เป็นความจริง' ในภายหลัง (คือ มันเหนื่อยแล้วงัย.. ไกล้จบแล้วเอาแต่ใจไม่ไหว.. หิวด้วยแหละ หมดแรง...)
.
เรื่องนี้ตัวเอกเป็นเด็กชาย-เด็กหญิง จึงอาจไม่สามารถเล่นบทผู้ใหญ่ได้แบบสุดโต่งเลยดูไม่เข้มข้นสำหรับนักอ่านบางคน กับ บางคนอาจยกตัวเอย่าง-ตัวเอกที่เป็นเด็กในวัยเดียวกันกับท็อดด์จากเรื่องอื่นๆของผลงานนักเขียนท่านอื่นๆว่า ทำไมทีเรื่องนั้นตัวเอกเล่นสายดาร์คได้ดี ฉลาด และเก่งกว่าทั้งที่เป็นเด็กเหมือนกัน ก็ลองคิดว่านี่คือผลงานของ Patrick Ness ไม่ใช่ผลงานของคนนั้น-คนนี้ แต่ละนักเขียนจะมีตัวตนในการสร้างตัวละครที่ไม่เหมือนกัน เช่นจริงๆแล้วน้าแพททริคก็สามารถเขียนท็อดด์ให้เก่งได้ในแต่ละฉากที่ท็อดด์สามารถใช้ 'มีด' ในการฆ่าคนได้-ในหลายๆครั้งที่มีโอกาส แต่กลับไม่ทำ
. เพราะ 'มีด' คือแกนกลางของเรื่องที่นักเขียนสร้างขึ้นให้เป็นทางเลือกของเด็กชายท็อดด์ ว่าจะทำอย่างไรกับมัน จะเลือกใช้มันในทางไหน มีดไม่ใช่สิ่งของ แต่มันคือทางเลือก มันบอกว่าใช่หรือไม่ใช่ เชือดหรือไม่เชือด ตายหรือไม่ตาย มีดหรือท็อดด์จะเป็นคนตัดสินใจคุณจะได้รู้ (ถ้าได้อ่าน)
.
ท็อดด์มันต้องแย่ มันจะได้เจ็บเยอะๆ เรียนรู้เยอะๆ จากความย่ำแย่ที่ศัตรูผู้คอยไล่ล่าทุกคนพยายามยัดเยียดให้ ทั้งความบ้าคลั่งจากนักบวชแอรอนที่อาศัยอยู่ในความเชื่อผิดๆ -บูชายัญ -การยอมทนทุกข์ทรมานของนักบุญ -ถ้าพวกเราคนใดคนหนึ่งกระทำบาป พวกเราทุกคนล้วนบาปด้วย ถือว่าเป็นตัวร้ายที่ป่วยทางจิตคนหนึ่งในเรื่องก็ว่าได้ ก็ในโลกที่มีแต่เสียงคิดนี้ คงไม่แปลกถ้ามันสามารถทำให้ใครบางคนป่วยได้ บางคนอาจต้องหาความเชื่อใหม่ๆเพื่อยึดเหนี่ยว บางคนอาจหาอำนาจจากมันอย่างเช่น นายกเทศมนตรีเพรนทิส ผู้ที่ต้องการตัวท็อดด์ด้วยเหตุผล (บางอย่าง..เฮ้ออ) เป็นบางอย่างที่ทำให้ทั้งสามต้องหนีโดยที่ยังไม่รู้อะไรมากนักในตอนแรก หนี หนี วิ่งๆ หนีๆ 
.
ส่วนในเรื่องการหนีของทั้งสาม (สองคน หนึ่งหมา) อาจดูโล่งๆแม้จะมีฉากที่ดูรุนแรงเป็นระยะ แต่มันยังเหมือนสามารถใส่อะไรลงไปได้อีก มันดูยังไม่มีอะไรมากมายระหว่างทางที่ทั้งสามต้องหนี แอบเบื่อและวางหนังสือลงอยู่หลายครั้งเหมือนกันนะ จนพยายามเข้าใจว่าเรื่องนี้พยายามสื่อ การเติบโตทางความรู้สึก ความคิดของตัวละครในเรื่องมากกว่า ทั้งความพยายามในการดิ้นรนที่จะไปต่อแม้ความหวังที่จะไปถึงนั้นไม่ค่อยมี ความเจ็บป่วยที่ต้องเอาชนะ ความหิวที่ต้องทนและอดกลั้น พอมองแบบนี้แล้วก็เออ... มันให้ความคิดที่แตกต่างออกไปนะ ในเรื่องตัวละครจะต้องมีการเรียนรู้ที่เริ่มจาก ศูนย์ คือไม่ว่าคุณจะรู้อะไรมา คุณจะต้องเตรียมพร้อมที่จะไม่รู้อะไรเลย แล้วไปเรียนรู้เอาใหม่ระหว่างทาง 
.
ทั้งการไว้วางใจ ที่ทั้งสามต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ความเชื่อใจที่ต้องสร้างขึ้นจากความลำบากที่มีร่วมกัน เช่นท็อดด์ ที่มองไวโอล่าอย่างไม่มีวันรู้จักเธอในตอนแรก ด้วยความเงียบงันที่แสนเจ็บปวดของไว มันทำให้ท็อดด์ไม่มั่นใจ 'ถ้าคนคนหนึ่งไม่มีเสียงคิด พวกเขาจะเป็นคนได้อย่างไร ถ้าพวกเขาไม่มีเสียงคิด' การมองไว ว่าเป็นคนไร้ค่า ว่างเปล่า ไม่มีอะไร ปราศจากความรู้สึกนึกคิด จนความทุกข์ยากที่มีร่วมกันทำให้ท็อดด์รู้จักไว ไม่ว่ามันจะเงียบงันแค่ไหนพวกเขาก็จะยังคงรู้จักกันในที่สุุด  ส่วนไว ก็พยายามคิดและเรียบเรียงเสียงคิดร้อยแปดจากท็อดด์เพื่อมองหาความเป็นตัวท็อดด์จริงๆ เสียงจริงๆจากข้างในตัวท็อดด์ที่เธอจะรู้จักและจำได้ในที่สุดไม่ว่าเธอจะได้ยินมันที่ไหนท่ามกลางเสียงคิดที่ดังร้อยแปด และ
.
ไม่แม้แต่คนที่ต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจกัน เพราะแม้แต่ หมา ก็ยังต้องการให้คนได้เรียนรู้แล้วเข้าใจในความเป็นหมาที่พูดได้และมีเสียงคิด และการปล่อยให้ตัวละครค่อยๆเปิดเผยความรักและเคารพหมาของตนจากความภักดีที่ซื่อสัตย์ที่หมาน้อยแมนชี่มีให้กับท็อดด์ตลอดทั้งเรื่อง คอยอยู่เคียงข้าง คอยย้ำเตือนว่าท็อดด์นั้นเป็นใคร และคอยเรียกให้ท็อดด์กลับมาเสมอยามที่ท็อดด์นั้นหลงทาง ถ้าคุณรักหมา คุณจะรักแมนชี่ในเรื่องนี้มากๆเลยล่ะ
.
ทิ้งท้าย : อ่านเรื่องนี้สองรอบ รอบแรกช่วงเดือนเมษายนที่ได้หนังสือมา รอบใหม่ในเดือนกรกฏาคมเพื่อทำความเข้าใจโดยไม่อคติในความไม่ชอบ กับทบทวนความจำ เพราะเมื่อลองนึกแล้วสิ่งที่จำได้ชัดเจนมีเพียงแค่ ''อยากอึ๊แล้ว ท็อดด์'' - ''อึ๊อึ๊ ท็อดด์'' กับ ''อึ๊ดี๊ดี ท็อดด์'' พยายามจินตนาการเสียงของแมนชี่เอานะ
.
ส่วนในเล่ม 2 ความเป็นเด็กก็คงจะน้อยลงไปแล้ว เพราะได้โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว เนื้อเรื่องก็คงจะมีอะไรมากขึ้น เข้มข้นขึ้น เพราะ มีดของท็อดด์ เป็นเพียงเล่มแรกในชุดไตรภาคนี้ มีหลายครั้งที่เล่มแรกทำให้เราไม่อยากอ่านเล่มต่อไปเพราะไม่สนุกไม่ถูกใจ แต่พอตัดสินใจอ่านต่อในเล่มสอง ก็ต้องร้องว้าวอยู่หลายเรื่องจาก 'ปะสบกานส่วนตัว' อย่างไรก็คงต้องติดตามอ่านต่อในเล่มสองแน่นอน ขอให้เล่มสองเป็นเล่มที่ดีนะ

**คำที่สะกดผิด คือความตั้งใจ เพราะในหนังสือมีการสะกดผิด หรือมีคำที่ไม่ถูกตามหลักไวยากรณ์ตามที่ผู้เขียนตั้งใจ 'สื่อออกมา' เราเลยเลือกบางคำจากในหนังสือ กับ คิดขึ้นใหม่บางคำมาใช้ในรีวิวนี้ ใครที่อ่านเรื่องนี้แล้วจะเข้าใจ ใครที่ยังไม่ได้อ่านเดี๋ยวจะงงว่ามัน "คือไรวะ" ฮ่าๆๆ

.........................................................................................................................
©salinsiree
...
If you have any questions, or would like to talk, contact me!
salinsiree.witchy@yahoo.com

(เรื่องสั้น) ฝันร้าย



 


ฝันร้าย
คือส่วนหนึ่งของชีวิตไซย์ มันไม่เคยแยกจาก หรือออกห่างจนรู้สึกว่ามันกำลังหาย มีแต่เข้าไกล้และสัมผัสได้จนอดคิดไม่ได้ว่า มันจะไม่มีวันหาย...

เพราะในทุกๆค่ำคืนของเหล่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ต่างพากันหลับไหล

ไซย์ เธอเป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน หากแต่เธอไม่ได้หลับไหล หากแต่เธอกำลังวิ่งหนี ความฝัน… และมันคือฝันร้าย มันสอน-ให้ไซย์ได้รู้สึกหยั่งลึกจนเข้าใจ ว่าต่อให้หนีความทรงจำที่โหดร้าย หลงลืมความเจ็บปวดที่เคยมีได้แค่ไหน อย่างไรเสีย มันก็จะมาคอยเตือน ย้ำให้เธอได้รับรู้และไม่มีวันลืมแม้แต่ในรายละเอียดละเล็กละน้อยของบาดแผล ทั้งหมดจะเป็นสิ่งที่ชัดเจนในความฝันของเธอ

ซึ่งมันจะคอยตาม คอยหลอกหลอน คอยกัดกินและบิดเบี้ยวจิตวิญญาณของไซย์ ราวกับจะแบ่งหัวใจของเธอออกเป็นชิ้นๆ ละเล็กละน้อย แล้วปล่อยให้ส่วนที่เหลือออกคลานหาไขว่คว้าส่วนที่หาย 

จนบางครั้ง ไซย์แยกไม่ออกในความลวงของความฝัน ว่านี่มันจริงหรือไม่ จริง…

เพราะความรู้สึกที่เกิดขึ้น ยามที่ความฝันเข้าคลอบงำนั้น มันช่างเหมือนจริงเหลือเกิน... เจ็บปวด เดียวดาย ทรมานและไร้หลักแหล่ง

จนแม้ตระหนัก-คิดได้ว่า “ฉันตื่นแล้ว” แต่ทั้งหมดของความรู้สึกหม่นๆเหล่านั้นกลับยังอยู่ วนเวียนอยู่กับลมหายใจ ราวกับได้กลิ่นไอจากฝันร้ายที่พึ่งผ่านไป ทั้งสดใหม่ ทั้งตื่นตระหนก ราวกับมันพึ่งเกิด หรือเกิดขึ้นไปแล้วจริงๆ 

และมันเป็นเรื่องที่เธอต้องทนทุกข์ทรมานในทุกๆค่ำคืน ยามที่เสียงต่างๆค่อยเงียบ และเจือจางลง ยามที่ความมืดค่อยคืบคลาน รอให้ไซย์กลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน

จน
เมื่อถึงเวลา… ความมืดได้พาไซย์ดิ่งลงด้วยกันสู่ที่-ที่ลึก เธอบอกความมืดเสมอ ว่าหากยิ่งดิ่งลงลึก ความสามารถในการหายใจของเธอจะลดลง แต่ความมืดมักเห็นแก่ตัวห่วงแต่ความพอใจของตน และหาได้ใส่ใจห่วงใยเธอแม้แต่น้อย มันรอคอย และเมื่อเห็นไซย์ผู้เป็นเหยื่ออ่อนแอลง มันจึงจู่โจม…
จากนั้นความฝันอันเลวร้ายก็ได้เข้าคลอบงำเธออีกครั้ง... อีกครั้ง และอีกครั้ง
ในทุกๆวันไซย์จะร้องไห้บ่อยเกินไป และเธอยังคงคิดมากเกินไป
เธอยังคงกิน แต่ไม่นอนในเวลาที่ควรนอน จนเมื่อเวลาผ่าน เป็นเดือน เป็นปี หรือหลายปีต่อจากนั้นเธอก็ทรุดลง ทั้งทางกายก็ซูบผอม มีเพียงเนื้อหนังบางๆปกปิดกระดูก จิตใจถูกบิดเบี้ยว จิตวิญญานมีบาดแผลและไม่เคยได้รับการเยียวยาหรือแก้ไข เป็นอย่างนั้นเรื่อยมา
         
จนวันหนึ่ง…
“ฉันสนิทกับมันมากขึ้น” ไซย์คิด
“มันคิดว่าฉันเป็นเพื่อนสนิทของมัน..ความมืดน่ะ” ไซน์ไตร่ตรอง 
และพยายามควานหาความกล้าหาญที่ซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึก เพื่อให้มันช่วยในเรื่องที่เธอต้องตัดสินใจ… 

และในคืนนั้น เมื่อความมืดค่อยคืบคลาน ไซย์จึงเตรียมตัวเข้านอน เธอไม่ได้พยายามหนีหรือขัดขืนมากนัก ครั้งนี้เธอรอคอย ปลดปล่อยตัวตนส่วนที่เหลือทั้งที่ยังดีซึ่งมีน้อยนิด ทั้งที่เสียหายซึ่งมากเกินไป เธอมอบมันทั้งหมดให้ความมืด แล้วปล่อยให้มันกลืนกินเธอจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมัน ทันใดนั้น..
 
ไซย์ลืมตาและจ้องมองมัน ความมืดไม่แน่ใจในสิ่งที่เธอทำ และแววตาของความเกลียดชังนั้นคืออะไร จนกระทั่ง…

เธอกลายเป็นผู้ที่พาความมืดดิ่งลงด้วยกันสู่ที่-ที่ลึก

ยิ่งลึก... ความสามารถในการหายใจของเธอจะลดลง เธอเคยบอกและมันจำได้ ก่อนเป็นฝ่ายขัดขืนเพื่อเหนี่ยวรั้งตัวเธอเอาไว้ แต่ก็สายเกินไป…

มันดิ่งลงลึกมากกว่าครั้งไหนๆสำหรับตลอดเวลาที่ผ่านมาของไซย์ เธอทรมาน และทรมานมากขึ้นเมื่อยิ่งดิ่งลงลึกไปอีก.. จนการหายใจเริ่มติดขัด มากขึ้นๆ..แล้วค่อยน้อยลงๆ...

จนเมื่อมาถึงลมหายใจสุดท้ายซึ่งไซย์ได้มอบมันให้ความมืดเป็นของขวัญ ก่อนเธอจะผละจากมัน และมองดูมันกรีดร้องอยู่อย่างนั้น ตรงนั้น ขณะเฝ้ามองไซย์ร่วงหล่นต่อไป

และเมื่อลมหายใจสุดท้ายของเธอจากไป ไซย์ก็ได้หลับสนิทอีกครั้ง และครั้งนี้เธอไม่ได้ฝันร้ายอีกเลย 
“ฉันได้พักผ่อนแล้ว..."  
.
.
.
.
.
.
.
พยายาม อย่าดูถูกคนที่ฝันร้าย พวกเขาไม่ต้องการหรอก ความฝันที่มีในทุกๆคืนหรือเมื่อใดก็ตามที่หลับไหล หากมันจะแย่แล้วทำให้ใจทุกข์จนหม่นหมอง แต่มันเลือกไม่ได้ที่จะไม่ฝัน ดังนั้นขอให้คนที่ไม่ฝันร้ายจนผิดปกติ คนที่หลับได้และไม่ทุกข์ใจในการนอนหลับ หรือการหลับของคุณไม่ได้ทำให้สุขภาพของคุณย่ำแย่ ก็อย่าได้มองผู้ที่ฝันร้ายอยู่เสมอว่าอ่อนแอและเป็นพวกเพ้อไร้สาระเลย พวกเขาอยากพักผ่อนมาก พวกเขาอยากพัก และหลับให้สนิท คุณรู้ไหม พวกเขาเหนื่อย
หลายสิ่งมีชีวิต ที่หาทางออกเพื่อให้ตนได้พักผ่อน จนสุดท้ายพวกเขาก็เจอทางออกเดียว ที่จะได้พักผ่อน เพียงแต่การพักผ่อนนั้น มันจะยาวนานเหลือเกิน 

เพราะพวกเขาจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก

บางคนอาจเป็นที่จดจำ เพราะมีคนที่รักรอบตัว จะมีคนร้องไห้เมื่อพวกเขาจากไป

บางคนอาจถูกหลงลืม และไม่มีใครเอ่ยถึง เพราะไม่มีใครรักหรือเสียใจที่พวกเขาจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก


.
.
...........................................................................................................
🍃🌸🍃🌸🍃🌸🍃
©salinsiree
If you have any questions, or would like to talk, contact me!
salinsiree.witchy@yahoo.com

(เรื่องสั้น) บทสนทนาระหว่าง ไซย์ กับ คาห์ฮา (หนึ่งในอาจารย์ผู้ทรมาน-ฝึกฝนไซย์)


คาห์ฮา 

ข้ารู้ ว่ามีปีศาจขับเคลื่อนอยู่ภายในตัวเจ้า มันลืมตาเพียงหนึ่งข้างแล้วอาจปิดเปลือกตานั่นลงเป็นบางครั้ง แต่ไม่เคยหลับไหลตลอดกาล เจ้าต้องมีวินัยต่อตนเอง แล้วบงการมัน อย่าปล่อยมันให้บงการเจ้า

นี่คือเหตุผล ที่เจ้าถูกกระทำให้อ่อนแอตั้งแต่ยังไม่เติบโตเต็มที่ ทำลาย แล้วปล่อยให้เจ้าแหลกสลาย เย็บบาดแผล ต่อติดเจ้าใหม่ แล้วทำลายอีกครั้ง ซ้ำๆจนเจ้าเจ็บป่วย จิตวิญญาณมีบาดแผล เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่มีพลังในการขับเคลื่อนวิถีชีวิตบนเส้นทางที่แท้จริงของเจ้า

แล้วเจ้าก็เป็นอย่างนั้น...

แต่

มีใครบ้างเล่า ที่ได้รู้ความจริง ของผลที่ตามมา ผลจากเศษเสี้ยวส่วนที่เหลือของการทำลายล้างตัวเจ้าให้เจ็บป่วย มันนานแสนนานจากนั้น จนถูกหลงลืม

ไม่มีใครเอ่ยถึง

ไม่มีใครรู้

จนเมื่อเจ้าได้สยายปีก โผบินด้วยปีกหนังดั่งเหล็กกล้า
มาทำลายล้าง ชำระเลือด เหล่าผู้ที่ทำลายเจ้า จนไม่เหลือแม้จุดกำเนิดของสิ่งเหล่านั้น เจ้าเผามันให้มอดไหม้ด้วยไฟเพลิงสีน้ำเงินแดง ดั่งน้ำทะเลที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีแห่งเลือด

ไม่มีใครเหลือรอด เพื่อมารู้สึกผิด ในการปล่อยให้เจ้าได้หายใจอยู่ เพียงเพราะทำลายเจ้าให้เจ็บป่วยแล้ว ไม่ได้แปลว่าเจ้าไม่สามารถ... บางสิ่งบางอย่าง ยังคงเป็นอยู่ของมันอย่างนั้น เป็นในสิ่งที่มันเกิดมาเป็น ต่อให้ถููกเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ไม่เหมือนเดิมแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มันเกิดมาเพื่อเป็น

แล้วเจ้า ก็เป็นสิ่งนั้น

--

ไซย์

แต่หลายปีมานี้ ข้าควบคุมปีศาจในตัวข้าไม่ได้ดั่งที่สมควรต้องทำ บางครั้งมันลืมตาทั้งสองข้างเพียงเพื่อเตือนให้ข้าตระหนักรับรู้ รู้ว่าตัวตนข้า-ในด้านที่ลึกและมืดมิดที่สุดนั้นปราถนาอะไร ข้ายึดเหนี่ยวสิ่งดีๆด้วยรักของมารดาและสหาย รวมถึงความรักจากคนที่ข้ารัก

แต่ตอนนี้ หลายสิ่งที่ข้าใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจ สิ่งดีๆที่ทำให้ข้าเป็นคนดีกับค่อยๆลาจากข้าไป หายไป จนแทบไม่เหลือสิ่งใด ข้าพยายามไขว่คว้าสิ่งยึดเหนี่ยวเท่าที่ข้าสามารถจะไขว่คว้า เพื่อทรงตัว เพื่อไม่ให้ล้ม และพังทลายลงไป

ข้าไม่คิดว่าสิ่งที่ทำลายข้าเมื่อนานมาแล้วจะผิดหวัง แม้ว่าข้าจะยังอยู่ เพราะอย่างไรข้าก็ได้ตายทั้งเป็นอย่างนี้ แม้ข้าจะมอบเพลิงไฟเพื่อเผาทำลายพวกมันไปแล้ว แต่ข้าก็ไม่ได้คิดว่าพวกมันจะผิดหวังหากได้รับรู้เรื่องราวของในข้าตอนนี้ แน่นอนว่าข้ายังไม่ได้ทำลายโลกนี้อย่างที่มันกลัว แล้วข้าก็ไม่รู้ว่าจะทำเพื่ออะไร แต่ข้าก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับมันที่ยังคงมีชีวิตอยู่ แม้ข้าไม่สามารถทำอะไรอย่างที่พวกมันกลัวได้อีกแล้ว

อาจารย์.. ตอนนี้ข้าได้ทำหลายสิ่งที่ไม่ดี และเริ่มจะกระทำ... เพิ่ม
ข้าไม่ได้รู้สึกผิดในสิ่งที่ทำ มันจึงทำให้ข้ากลัว.. กลัวว่าทำไมข้าถึงไม่รู้สึกสิ่งใดถึงความผิด แต่กลับคิดว่าถูกและมันสมควร คนบางคนก็สมควรตาย ข้าเริ่มรักคำๆนี้ ทั้งๆที่ไม่เคยใส่ใจความหมายของมันหรือจดจำมัน แต่มันมามีความหมายในตอนนี้

ข้าคิดว่าจิตใจของข้าเจ็บป่วยเกินไป ข้าไม่รู้ว่ามันจะยังรักษาหรือเยียวยาทันหรือไม่ บางคนบอกว่า ทำได้ แต่จะได้ทำเมื่อไหร่ล่ะ... นั่นคือสิ่งที่ข้ากังวลมากกว่า ข้าไม่มีโอกาสได้เยียวยาตนเอง และเรื่องร้ายๆก็ยังคงมีมาเพิ่มไม่หยุดหย่อน สูญเสียไม่จบไม่สิ้น จนข้าคิดว่ามันไม่สมดุลกันแล้ว ระหว่างสีดำและสีขาวในตัวข้า มันผสมกันจนเป็นสีเทาหม่นหมอง ข้าภาวนาขอให้มันไม่เป็นสีดำในเร็วๆนี้

ข้ากลัว กลัวว่าจะ ทำ ทำสิ่งที่ไม่ดีในโลกธรรมดาของข้า ข้าจึงพยายามไม่สานมิตรหรือรู้จักใครมากพอจะทำให้ใครสักคนมาทำร้ายจิตใจข้า หรือบาดหมางกัน จนทำให้ข้าหมกมุ่นแล้วมีความคิดดำมืดอยากให้คนที่ทำให้ข้าเจ็บปวด สิ่งที่ทำให้ข้าเจ็บปวดนั้นหาย หายไปจากชีวิตข้า ไม่มีตัวตัวและถูกเผาทำลายจนเหลือเพียงเศษเถ้ากระดูก

อาจารย์.. มันยังถูกกักขังดีหรือไม่ ปีศาจน่ะ ท่านเป็นคนกักขังมัน ผลักข้าให้ต่อสู่กับมัน...

--

คาห์ฮา

มันยังคงอยู่ แต่...
จริงๆแล้ว มันไม่ใช่การกักขัง ไซย์เจ้าต้องฟังข้า...

ปีศาจนั่น มันคือตัวตนของเจ้า แล้วเจ้าก็รู้ดี การฝึกฝนควบคุมมัน เพียงเพื่อแยกด้านมืดของเจ้าให้อยู่ในที่ที่สงบ มันไม่ได้เลวร้ายหากเจ้าควบคุมมันได้ บังคับมันได้ จงอย่ากระทำเหมือนมันเป็นสิ่งที่ห่างไกล อย่าผลักไสมัน ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว อย่าได้กลัวมัน มันคือสิ่งที่เจ้าเกิดมาเป็น

หากเจ้าไม่รู้สึกผิดในสิ่งที่ทำ หากคนที่เจ้าฆ่า มันเป็นสิ่งเลวทรามแล้วทำร้ายเจ้า มันก็สมควรตาย คนบางคนก็สมควรตาย มันมีความหมายเสมอ หากมาจากความคิดของคนดีๆ อย่างเจ้า หากเพียงเพราะคนอื่นรู้สึกไม่ดีในสิ่งที่เจ้าทำ นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าคนคนนั้นยังคงอยู่กับเจ้าไหม เพราะนั่น...

นั่นหมายถึงเขารักเจ้า รักมาก และเพราะเขารับรู้ว่า ลึกๆแล้วมันถูกต้อง เพียงแต่เจ้าคือบุคคลที่เจ็บป่วยและมันอาจส่งผลให้เจ้าเปลี่ยน และถลำลึกในด้านที่ดำมืด จนเปลี่ยนเจ้าเป็นอีกคนที่เขากลัว เขาเป็นผู้รักษาเขาย่อมต้องรู้สึกหมองใจ แต่ข้าเชื่อว่าลึกๆแล้วตัวเขาจะเชื่อมั่นในตัวเจ้าว่าเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง แม้เจ้าจะยืนอยู่บนร่างไร้วิญญาณของใครก็ตาม บางครั้งคนบางคนหรือพวกที่ไม่ใช่คนก็ไม่สมควรมีจิตวิญญาณ เพราะไม่คู่ควร แต่ข้าจะไม่ตัดสินใคร มันขึ้นอยู่กับสิ่งดีงาม และ สิ่งเลวทรามที่พวกเขาทำ หากทำโดยเราไม่เกี่ยวข้อง ไยต้องใส่ใจ แต่หากทำโดยเราเกี่ยวข้องหรือมาทำร้ายตัวเรา นั่นเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการใส่ใจ

เช่นสิ่งที่เจ้าทำ มันอาจดิบเถื่อนเกินไปสำหรับเจ้า นั่นเพราะไม่มีคนขัดเกลาในเรื่องนี้ให้เจ้ามานานเกินไป เจ้าหลงลืมหลายสิ่ง ความเจ็บป่วยกัดกินเจ้ามานานเกินไป และในโลกใบนี้ที่ไม่ธรรมดา เรื่องที่เจ้าทำนั้นมันช่างสามัญเหลือเกิน เพียงแต่เจ้าเกิดแล้วเติบโตมาในโลกธรรมดาที่เรื่องนี้อาจผิด แต่เจ้ากำลังต่อสู่อยู่กับบุคคลที่ไม่ธรรมดา เลวทราม การที่เจ้าทำลายมัน เจ้ายังได้ช่วยใครอื่นอีกมากที่ต้องทนทรมานเพราะมัน จงเก็บเรื่องนี้ไปคิด

ยังมีคนอื่นๆอีกที่รู้จักชื่อของเจ้า แล้วจะเอ่ยขอบคุณแม้ในมุมที่มืดที่สุดของโลกใบนี้ เจ้าอาจไม่ได้ยิน แต่มันคงมี และจะมี ขอให้เจ้าคิดให้ได้

รู้ไหม ในวันแรกที่พวกนั้นส่งเจ้ามาที่นี่ เพื่อทรมานและฝึกฝนเจ้า ข้ามองดูเจ้า...
ข้าคิดทันที ในตอนนั้น ว่าเพียงวันเดียวเจ้าคงตาย และไร้ค่า แต่...

เจ้ากับนอนลืมตา
ร่างกายบิดเบี้ยวด้วยความทรมานอยู่ในกรงโสมมของนรกที่ข้าสร้าง เพื่อกักขังเจ้า
เจ้าไม่เคยกรีดร้อง ไม่ใช่เพราะไม่อยากร้อง เจ้าแค่ไม่แยแส เหมือนที่ข้าไม่แยแสเจ้า

ดังนั้นจงระลึกถึงสิ่งที่เคยผ่านมา แล้วหล่อหลอมให้มันเตือนใจเจ้าถึงสิ่งที่เจ้าควรเป็น และควบคุมมัน

ข้ารู้ โลกธรรมดาสามัญใบนั้นมันไม่ใช่โลกที่เจ้าสมควรอยู่ มันไม่ใช่ที่ของเจ้า แต่เจ้าก็เลือกที่จะอยู่ เมื่อมันเป็นสิ่งที่เจ้าเลือก ก็จงอยู่ แต่..

หากเจ้าอยากมาเยี่ยมเยียนอีกโลกที่เจ้าคุ้นเคยเพราะมันคือบ้านที่แท้จริงของเจ้า ที่ที่ตัวของเจ้าได้เป็นอิสระทางจิตวิญญาณ ที่ที่เจ้าไม่ต้องปกปิดสิ่งใดเอาไว้ภายใต้ตัวตนที่หมองหม่นของเจ้า เจ้าก็สามารถที่จะมา หากเจ้าปราถนาจะมา...

ข้ารู้ว่าเจ้าเหงา และเดียวดาย มันเป็นความเดียวดายที่ขมขื่น เป็นสิ่งที่เจ้าคำนึงอยู่ในจิตใจแต่ไม่ได้เอ่ยออกมา แต่ข้ารู้ ข้าเห็นมันในแววตาของเจ้า มันบ่งบอกได้ทุกอย่าง แต่มันคือความอ่อนแอ หลายคนมากมายในโลกใบนี้ที่ยังคงเจ็บปวด แต่ก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป เจ้าก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป 

ตอนนี้ข้าชรามากเหลือเกินแล้ว
ในวันข้างหน้าที่เจ้ามาเยี่ยมเยียนที่นี่ ข้าอาจไม่อยู่แล้ว แต่ทุกๆอย่างของข้าก็จะวนเวียนพร่ำสอนเจ้าอยู่ร่ำไป ข้าดุร้ายกับเจ้าเสมอมา แต่เจ้าคงรับรู้ได้ว่าทำไม แม้วันนี้เจ้าไม่ต้องอยู่ในกรงขังอีกแล้ว ส่วนข้าก็ไม่ต้องโหดร้ายกับเจ้าอีก แต่ในเมื่อเป็นครู ข้าก็ต้องพร่ำสอนเจ้าเรื่อยไป เพราะมันคือตัวตนของข้า เป็นสิ่งที่ข้าทำได้ดีที่สุด

--

ไซย์

" ข้ารู้ "
.
.
เมื่อถึงเวลาเดินทางกลับ ไซย์ได้ไปบอกลาน้องชายบุญธรรม พูดคุยกันก่อนที่เธอจะลาจากมา หวังว่าเขาจะทำได้ดี ฝึกฝนได้ดี และค้นพบตัวเอง ที่นี่ เธอคิด

ไซย์บอกกล่าวอาจารย์ว่าตนจะเดินทางกลับด้วยวิถีเดิมเหมือนตอนฝึกเมื่อหลายปีมาแล้ว

อาจารย์เลิกคิ้วสูง มองมา คงประเมินว่าเธอพูดเล่น หรือลืมว่าตนอ่อนแออย่างไรในตอนนี้ แต่เมื่อเข้าใจว่าเธอจะไม่ตาย"แถวๆนี้"ก็พยักหน้าตอบรับ ไม่ได้พูดอะไร

ไซย์คิด แม้จะเป็นเพียงหนึ่งคืนเดียวดายท่ามกลางป่าเขา แต่มันคือโลกของเธอ.. เธอเป็นหนึ่งเดียวกับผืนป่าและผืนดินของที่นี่ แม้จะกังวลเพราะไม่กล้าหาญเหมือนก่อน แต่ตัวตนภายในลึกๆก็ร้องคิกคัก พากันตื่นเต้น เธออาจพบเห็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาบ้าง คงเป็นประสบการณ์เล็กๆพอจะหล่อหลอมเป็นยา เยียวยาจิตใจเธอได้บ้าง..

ไซย์จะรอพบสหายคนหนึ่งของเธอ ที่จะรอรับเธอ ที่จุดนัดพบในวันต่อมา เพื่อรับส่งเธอไปยังที่หมายด้วยความเร็วเพียงสองวัน จากเจ็ดวันกว่าๆ เพราะเธอคงไม่เดินทางด้วยเท้าเปล่าเป็นเวลาสัปดาห์กว่าๆจนถึงที่หมายหรอกนะ... เธอไม่มีเวลาขนาดนั้น และตอนนี้สังขารของเธอก็ใช่ว่าจะดี และสิ่งที่ต้องเจอระหว่างเดินทาง ต่อให้พิเศษแค่ไหน ก็ใช่ว่าบางครั้งจะไม่ยุ่งยาก แต่ไซย์คิดว่าคงจะดีหากได้ทำอะไรที่เป็นตัวของตัวเอง วิถีเดิมๆที่เคยทำมา สักคืน.. เพื่อวัดใจ

แม้กระดูกของเธอจะไม่ค่อยยอมรับความคิดนี้ มันประท้วงความคิดนี้ด้วยอาการปวดแปล๊บๆตามข้อกระดูก แต่เธอก็เฉยๆ มันดีขึ้นในโลกนี้ เธอคิดว่าไหว ก็ต้องไหว...

อาจารย์ให้เสบียงอาหารแห้ง ซึ่งไซย์ดีใจมากๆ พร้อมกับคบเพลิงไฟสีแดงฉานเพื่อนำทาง มันมีด้ามไม้ให้จับ ซึ่งยาวเท่ากับความสูงถึงหัวไหล่ของเธอ

อาจารย์ทำขึ้นโดยเฉพาะเพื่อให้เธอใช้แทนต่างไม้เท้า ไฟจะมอดดับก็ต่อเมื่อไซย์เอ่ยวาจาในภาษาเก่าๆของที่นี่สักสองสามคำ และติดไฟใหม่เมื่อสั่งมันในภาษาเดิมอีกคร้ง แม้วิถีเดิมตอนฝึกจะไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็ตาม วิถีเดิมคือต้องหาแสงสว่างในความมืดด้วยตนเอง จุดไฟเอง คงเพราะท่านรู้ว่าข้านั้นไม่เหมือนเดิม ดวงตาก็มองไม่ค่อยเห็นแบบเดิม คบเพลิงจึงเป็นเรื่องดี ท่านจึงมอบให้ ไซย์ไม่ได้แตะต้องเจ้าสิ่งนี้ มานาน แสนนาน...

ก็ในโลกธรรมดาของเธอมันมีหลอดไฟ และไฟฉาย... นี่นะ..

.
.
...........................................................................................................
🍃🌸🍃🌸🍃🌸🍃
©salinsiree
If you have any questions, or would like to talk, contact me!
salinsiree.witchy@yahoo.com

live alone -die alone

....................
คนที่ยังอยู่กลับไม่ยอมรัก ส่วนคนที่รักกลับตายจาก
ช่างอาภัพ เหน็บหนาว และเดียวดาย ไม่มีใครรัก หรือพยายามเข้าใจ
.....
วันวันรำพึงถึงแต่คนที่จากไป เรียกร้องเท่าไหร่ ไม่มีใครกลับมา
.....
ไซย์ผู้แสนเศร้า นั่งหงอยเหงา ระลึกถึงรักที่จากไป
จากไปพร้อมกับคนที่ตายจาก
ไม่มีใคร ผู้ใด ที่ยังหายใจนั้นจะรักเธอได้ลง
.....
เพราะ เธอคือโชคร้าย
คือภาระทางความรู้สึก คือหลายสิ่งหลายอย่าง
ที่ทุกคนจะหาเหตุผลเพื่อเกลียด
.....
ไซย์คิดเสมอ_ ว่าหากอยากสัมผัสรักอีกครั้ง อยากถูกรักอีกครั้ง_
ก็คงต้องตาย ตามคนที่ตายจาก
เพื่อให้วิญญาณตนได้ออกเดินทาง
สู่เส้นทางวิญญาณของคนที่ตายจากไปก่อนหน้านั้นรออยู่
หรืออาจยังอยู่_
.....
สักที่ใดที่หนึ่ง ในโลกเหล่านั้น หากไม่สายเกินไป
หากยังไม่จากไปไหนไกล
ไปสู่เส้นทางสายใหม่ของคนที่หลุดพ้นเสียก่อน_
เพราะหากเป็นเช่นนั้น
.....
วิญญาณดวงน้อยๆที่หม่นหมองของไซย์ผู้นี้ ก็ต้องรอคอย
เพราะไซย์ไม่เคยปล่อยวาง หรือหลุดพ้น
แม้จะสิ้นลมกลายเป็นวิญญาณสีเทาที่หม่นหมอง
ลอยละล่องลำพังตามกาลเวลา
.....
ในขณะที่จิตวิญญาณของผู้เป็นที่รักต่างพากันหลุดพ้น
และจากไปสู่เส้นทางสายใหม่แล้ว_
ไม่ว่าจะทางไหน
.....
ไซย์ก็ต้องอยู่ลำพัง
เหน็บหนาวและเดียวดาย... 
.
.
...........................................................................................................
🍃🌸🍃🌸🍃🌸🍃
©salinsiree
If you have any questions, or would like to talk, contact me!
salinsiree.witchy@yahoo.com

inside my soul

new blog


🍀🐇🍀

🌿🐇🌿

🌿🌿🌿🐇🌿🌿🐇🌿🌿🐇🌿🌿🐇🌿🌿🐇🌿🌿🐇🌿🌿🐇🌿🌿🐇🌿🌿🐇🌿🌿🐇🌿🌿🌿
inside my soul
 https://salinsireesoul.blogspot.com/
..................

Book Shop // Dasa Book Cafe - ep.1

เสียงหนึ่งถามข้า "หนังสือในมือเจ้า
เจ้าปราถนาสิ่งใด ในหน้าแรกที่เปิด.."

"อาจเป็นความสุข สนุก หรือตื่นเต้น
หรือหวังอยากให้เศร้า
ระคนทุกข์ หม่นหมอง"




ข้าตอบ
"ข้าไม่มีความหวังแบบเฉพาะ หรือเจาะจง"




"หากแต่ข้าหวังจะมีหนังสือสักเล่ม ยามที่มือของข้านั้นว่างเปล่า โดยที่ไม่กล้าหวังว่าเนื้อเรื่องจะเป็นเช่นไร"


 "อาจเพราะข้านั้นรักหนังสือ และมีหนังสือเป็นเพื่อน เพื่อนยามที่ข้านั้นเหงา และเดียวดาย"


 "จึงไม่กล้าคาดหวังในเนื้อเรื่อง ไม่กล้ากดดันโอกาสที่จะได้อ่าน
แต่ก็จะไม่โกหก ว่าข้าเองก็อยากให้ทุกเรื่องที่ข้าอ่านนั้นสนุก และวางไม่ลง"


"ซึ่งส่วนมากก็เป็นเช่นนั้น
เพราะข้ามักจะมองหา ทั้งที่เปิดกว้าง และแคบลง ทั้งที่เก่าและใหม่ ในมุมมองของข้าเอง"


"เมื่อได้มา ก็จะอ่าน และอ่าน จะพิจารณาและทำความเข้าใจ
ไม่ว่าในท้ายที่สุดแล้วจะผิดหวังหริอเเศร้าใจ สนุกหรือไม่สนุกก็ตาม
มันก็ยังจะเป็นเพื่อนที่แสนดีของข้า"

"ซื่อสัตย์และเที่ยงตรง
ไม่จากไปไหน และคงอยู่ที่เดิม
ที่ที่ข้าวางไว้ เก็บไว้"





"เมื่อหันไปมอง เมื่อนึกได้
มันก็จะอยู่ตรงนั้น รออยู่เสมอ
ให้ถูกเปิด"




"ข้าจึงมีหนังสือเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นความรู้ และเป็นมิตร"


"เป็นสิ่งที่ดีในวันที่ข้าต้องการให้ผ่านพ้นไป มันก็จะอยู่ในมือ คอยช่วยให้ข้าผ่านวันที่ต้องทน
ไม่ว่าจะเรื่องใด ข้าก็ผ่านมันมาโดยมีมิตรที่ดีเหล่านี้อยู่เคียงข้าง"


"แต่บางครั้ง ข้าก็พักนะ
วางมันลงและไม่แตะต้องมัน ปล่อยมันบ้าง"


"เหตุผลเหรอ? ไม่มีหรอก............................

..........................................................................

............................................................................
 แค่บางครั้ง
กะตังค์ ไม่มี........"

(จบ)

.............................................................................................................
สถานที่ Dasa Book Cafe 
714/4 Sukhumvit Road (between Soi 26-28)
Klongton, Klongtoey, Bangkok 10110
Phone: 02 661 2993
...........................................................................................................
🍃🌸🍃🌸🍃🌸🍃
©salinsiree
If you have any questions, or would like to talk, contact me!
salinsiree.witchy@yahoo.com

(เรื่องสั้น) เกี่ยวกับ ไซย์ และ เดอลี ซาร์ // ep.2 จดหมายจาก เดอลี ซาร์ ถึง ไซย์ (ep.1-2 จบ)

ฉันภาวนาขอให้เป็นเธอนะไซย์ ที่ได้เปิดอ่านจดหมายฉบับนี้ เพราะฉันเขียนมันถึงเธอ

สวัสดีไซย์ ฉันเชื่อในความสามารถของเธอว่าต้องได้จดหมายฉบับนี้จากฉัน เพราะเธอเป็นคนมีน้ำใจมากและซื่อสัตย์ ฉันจึงเลือกเก็บมันเอาไว้ตรงที่-คนที่มีน้ำใจจะใส่ใจและนึกถึงมันจึงจะเห็น มันอาจเสี่ยงเพราะเธอเองอาจเหนื่อยเกินกว่าจะมีน้ำใจเล็กๆน้อยๆหรือห้องของฉันอาจถูกรื้อค้นจนเละเทะไปหมด แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนฉันก็เชื่อว่าเธอจะได้อ่านมัน

ฉันขอโทษนะที่ต้องทำให้เธอลำบาก ฉันไม่เลือกใช้คำว่า อาจจะ เพราะเชื่อว่าอย่างไรเสียในตอนสุดท้ายก็คงเป็นเธอที่เป็นคนจัดการทุกอย่างของฉัน ก็ฉันไม่มีใครเลยนี่นะ ก็คงมีแต่เธอที่เป็นคนมอบอาหารมื้อสุดท้ายให้ฉัน

ไซย์การที่ฉันเลือกจากไปไม่ใช่เพราะว่าทุกอย่างแย่หมดแล้ว แต่เพราะทุกอย่างแข็งตึงเกินไปสำหรับบางสิ่งบางอย่างที่อ่อนปวกเปียกแบบฉัน ฉันล้าเหลือเกิน และหดหู่เกินไป ฉันอ่อนแอเกินเยียวยาและไม่มีใครคอยประคับประคอง นอกจากเธอที่ยื่นมือมา แม้ยามที่เธอลำบากสุดแสนและเจ็บป่วย เธอก็ยังพยายามเคี่ยวเข็ญให้ฉันทำสิ่งต่างๆจนได้ และฉันเชื่อว่าหากวันนี้ที่ฉันนั่งเขียนจดหมายถึงเธออยู่นี้เปลี่ยนเป็นเดินทางไปหาเธอแทน ฉันก็คงจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกหนึ่งวันเพราะเธอ เพราะคำพูดของเธอ ที่พยายามเค้นออกมาจากร่างกายที่ทรมานของเธอ แต่ทำไมกันล่ะ ทำไมฉันต้องเป็นแบบนั้น ตรงกันข้าม เธอแย่ลงกว่าฉันและมีเรื่องราวมากมายกว่าฉัน ทั้งยังไม่แข็งแรงรวมถึงเจ็บป่วยที่หัวใจมากกว่าฉัน แต่ยังคงเลือกที่จะยื้อ เยียวยาตนเอง และยังคงอาศัยอยู่ มันทำให้ฉันรู้สึกสมเพชตนเองเหลือเกินที่เพียงแค่อ่อนแอเรื่องจิตใจก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว อาจเพราะฉันเดียวดายเกินไป และมืดหม่นเกินไป และฉันอยากจะขอบคุณเธอมากๆไซย์ ที่ช่วยทำให้ฉันกล้ามากขึ้นจนสามารถก้าวขาออกภายนอกได้ไกลกว่าเดิม ไปหาเธอ ไปหาคนที่ต้องคุย ไปหาสิ่งที่ต้องแก้ไข ฉันทำมันได้แม้จะเป็นการกระทำในตอนสุดท้ายของฉันก็ตาม ซึ่งฉันขอบคุณ และได้โปรด.. ได้โปรดอย่าโทษตัวเองในเรื่องที่ผิดพลาดเกี่ยวกับฉัน เรื่องงานที่ฉันได้เดินทางไปทำในที่-ที่ไกลแสนไกล มันดีมากๆนะไซย์ มันมีค่า และถือเป็นความเหมาะสมแล้วที่มีอะไรแบบนี้ในตอนจบของฉัน ฉันอาจไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้งี่เง่าจนทำพลาด และให้ทุกคนเสียหน้า แต่ฉันก็ยังสามารถห้ามตัวเองไม่ให้ทำอะไรแย่ลงกว่านั้นได้และพาร่างกายที่สั่นเทิ้มกลับมาจนถึงบ้านได้ โดยนึกถึงเธอว่า ถ้าเป็นเธอจะทำอย่างไร ฉันจำได้ในเหตุการณ์ที่เคยอยู่ร่วมกับเธอ เรื่องร้ายๆที่ทำให้เธอชาจนช็อคแต่ก็ยังค่อยๆหาทางกลับบ้านแม้จะไม่รู้สึกถึงสิ่งใดรอบตัวอีกแล้วก็ตามที ฉันเลือกเอง และไม่มีใครผิดพลาด ดังนั้นอย่าโทษตัวเอง ทำเพื่อให้ฉันได้สบายใจเถอะนะไซย์

เพราะฉันเหนื่อยหัวใจมากจากสิ่งที่รุมเร้า จากสิ่งที่รักษาไม่หาย จากสิ่งที่คนอื่นๆไม่เป็น คนที่แย่กว่าด้วยเรื่องที่มากกว่ากลับไม่เป็นอะไร แต่ทำไมคนอย่างฉันถึงต้องเป็นหนักกว่าด้วยอาการที่ทุกข์ทรมานมากกว่า ถ้าใครสักคนจะเข้าใจฉันก็คงเป็นเธอ ไซย์เธอทนอยู่กับอาการเหล่านี้ได้อย่างไร ทั้งที่เธอน่าสงสารกว่าฉันมากนัก เป็นเรื่องที่ฉันไม่กล้าสู้หน้าเธอเวลาที่ฉันหดหู่ แต่เธอกลับพูดแทนฉันได้ตลอดเวลาที่ฉันรู้สึก และบอกเสมอว่าเธอเองเป็นมานานจนรู้ได้ว่าใครที่กำลังเป็นและเป็นอยู่ผ่านการมองเห็นและรับรู้ทั่วๆไป เธอบอกว่าอย่าอาย ฉันจึงไม่เคยอายเวลาอยู่ต่อหน้าเธอ เราต่างรู้ว่าความรู้สึกเหล่านี้มันจะไม่มีทางดีขึ้น นอกจากเราจะขยันเยียวยามัน และฉันก็คงเยียวยามันไม่ได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง ฉันคิดว่ามันถึงเวลาของฉันแล้วที่ต้องพักการมีตัวตนที่ปราศจากชีวิตนี้ และฉันรู้ว่าสำหรับเธอ ฉันคือเพื่อน มิตรภาพ และคนรู้จัก เธอกล้าพูดว่า "นั่นเพื่อนฉันเอง เธอเก่งสุดยอด" ต่อหน้าคนอื่นๆ รู้ไหมว่ามันมีค่ามากที่เธอทำอย่างนั้นกับฉัน มันดีและแจ่มชัดในความทรงจำที่ฉันมี ส่วนสำหรับฉัน เธอคือเพื่อนคนเดียวที่ฉันมี และรู้จัก เป็นเพื่อนคนเดียวของฉันไม่ว่าจะในโลกของคนเป็น หรือโลกของคนตาย จะในโลกของมนุษย์สามัญหรือในอีกโลกของคนที่วิเศษ ไม่ธรรมดาและเก่าแก่ โลกที่เธอรักและมันคือบ้านที่แท้จริงของเธอ ทั้งหมดนี้เธอคือคนที่ฉันให้ใจ คนที่กล้าพูดกับฉันในขณะที่คนอื่นเมินฉัน คนที่เข้าหาฉันท่ามกลางความขัดแย้งของผู้อื่น คนที่ยื่นมือมาสัมผัสฉัน และเป็นคนแรกที่ฉันสัมผัสและยื่นมือออกไปหาด้วยความเต็มใจและปราศจากข้อกังขาใดๆ คนที่ไม่สมเพชฉัน และเป็นคนเดียวที่ฟังคำพูดของฉันแม้ว่ามันจะไม่น่าฟังแค่ไหนก็ตาม ฉันจะคิดถึงเรื่องทั้งหมดนี้ในอีกโลกที่ไม่มีใครรบกวน แม้กระทั่งอาการเจ็บป่วยที่หัวใจก็จะไม่รบกวนฉันอีก มันคงจะดีถ้าเราได้นั่งเล่นด้วยกันและกินคุ้กกี้ข้าวโอ๊ตกับน้ำแอ๊ปเปิ้ลกันอีกครั้ง มันคือเมนูแรกที่เธอใช้มาสานมิตรกับฉัน เธอจะจำมันได้ไหม พวกเขาลบมันออกไปจากความทรงจำของเธอหรือเปล่า ฉังหวังว่าไม่เป็นแบบนั้น เพราะฉันไม่ต้องการคิดคนเดียวว่าเคยมีเพื่อนเล่น มันคงจะเดียวดายกว่าเดิมแน่ เพราะฉะนั้นได้โปรดจดจำมันเพื่อฉันด้วยเถอะนะ เหมือนกับที่เธอจดจำฉันในเรื่องที่ฉันเก่งอะไร และทำอะไรได้บ้าง เธอเป็นคนเดียวที่ยกย่องฉันอย่างเปิดเผย จริงใจ ชื่นชมฉันต่อหน้าคนอื่น ปกป้องฉันและงานของฉันเสมอมา บางครั้งฉันก็คิดว่าเธอจะทำแบบนี้ทำไม ทั้งที่เธอดูจะหงุดหงิดอยู่เสมอ แต่แล้วฉันก็เลิกคิด เพราะคิดได้ว่า เธอก็เป็นเธอ จะเป็นอะไรได้เล่า ดีจริงๆที่ฉันยังจำใบหน้าที่หงุดหงิดของเธอได้

ฉันคิดเสมอ ว่าวันที่ฉันตายจะมีใครนึกถึงฉันบ้างไหม แล้วฉันจะเป็นอย่างไรในความคิดของแต่ละคน พวกเขาจะคิดว่า นึกแล้วต้องเป็นแบบนี้, ไม่แปลกหรอก ก็แย่ซะขนาดนั้น, น่าสงสารจริงๆ, หรืออะไรก็ตาม แต่เธอเคยบอกกับฉันว่า "หากเธอตายไป โลกของเราคงขาดคนที่มีพรสวรรค์เรื่องอักษร มันน่าใจหายถ้าจะไม่มีใครทำได้แบบที่เธอทำ ฉันคงหนึ่งแหละที่จะคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้" ตอนนั้นฉันดีใจและเหงามากที่เธอบอกกับฉันแบบนั้น ฉันคิดว่า ฉันจะสามารถทำสิ่งใดได้บ้างก่อนจากไป ในเมื่อฉันไม่มีใครให้ร่ำลา นอกจากเธอ ซึ่งฉันก็ดีใจที่อย่างน้อยฉันก็ได้มีคนให้ร่ำลา คนที่ไว้ใจได้ แม้เป็นเพียงคนเดียวแต่ก็เป็นคนเดียวที่ฉันวางใจ ฉันจึงตั้งใจเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยอักษรที่ฉันรัก ตั้งใจที่จะบอก บอกคนที่ฉันเชื่อใจ แม้บางเรื่องจะน่าโมโหแต่ก็รู้ว่าเธอคิดดีที่สุดแล้ว ฉันจึงขอบคุณเสมอ และขอโทษหากที่ผ่านมาฉันทำให้เธอไม่สบายใจ หรือหนักใจไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม ได้โปรดให้อภัยฉันด้วยนะ

ไซย์ฉันรู้ว่าเธอจะเป็นคนที่จัดการทุกอย่างของฉัน รวมถึงร่างที่ไร้วิญญาณของฉัน มันอาจไม่สวยงามแล้ว ตอนที่เธอมาพบ ฉันจึงจะบอกเธออีกครั้งว่า ทุกสิ่ง ทุกอย่างของฉัน ฉันขอมอบให้เธอเป็นคนจัดการแต่เพียงผู้เดียว ตามแต่ที่เธอจะเห็นว่าเหมาะสมและสมควรแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม แต่มีอยู่หนึ่งสิิ่งที่ฉันขอ ฉันรู้ว่าเธอจะต้องเผาร่างของฉัน ซึ่งฉันก็ต้องการแบบนั้น แต่ฉันจะขอให้เธอช่วยเก็บเถ้ากระดูกของฉันและนำไปฝังไว้ที่ใต้ต้นออซซี่ที่ฉันชอบไปนั่งอ่านหนังสือ ที่ที่เธอบอกว่าสวย มันตั้งตระหง่านอยู่ด้านข้างหอสมุดคิลส์ หอสมุดที่ฉันและเธอได้พบกันเป็นครั้งแรก มันคงจะดีถ้าได้กลับไปอีกครั้ง มันเป็นภารกิจที่ดีมากๆในตอนนั้น และที่นั่นก็ดีมากๆจริงๆ ฉันจะได้อยู่ไกล้ๆหอสมุด และอยู่ไกล้แม่น้ำ ป่าเขา เธอจะทำให้ฉันได้หรือไม่ ไม่ว่าจะตอนไหนหลังจากนี้ นี่คือสิ่งที่ฉันขอร้องเธอ และอีกเรื่องที่ฉันอยากให้เธอจัดการ ฉันขอมอบแผนที่เมซาร์คให้กับหอสมุดคิลส์ด้วยนะ ฉันได้แปลมันเป็นภาษาของปัจจุบันแล้ว มันจะมีค่าให้กับคนของหนังสือ คนของอักษร และคนของเรา เด็กของเราในอนาคต และอย่าทำเป็นเรื่องใหญ่นะ ทำอย่างสงบ (ฉันห้ามเธอได้อยู่ใช่ไหม) มันคงจะดีถ้าสักวันมีคนขอบคุณฉันที่ทำสิ่งนี้ให้ แม้ว่าฉันจะไม่อยู่แล้ว เพราะเมื่อฉันยังอยู่ คงยากนักที่คนแบบฉันจะได้ทำอะไรสมหวัง ฉันจึงขอฝากความหวังนี้ให้กับเธอคนที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยนะ

ท้ายสุดนี้ฝากขอบคุณเพื่อนรักของเธอ พ่อหนุ่มชาวคาตินซ์ ผู้ซึ่งช่วยเหลือฉันเรื่องค่าใช้จ่ายห้องพัก เขาอาจไม่ได้เล่าให้เธอฟังมาก แต่เขาช่วยฉันเอาไว้มากเลยนะ และนิสัยอบอุ่นมาก แม้ว่าจะน่ากลัวไปหน่อย ฉันคิดว่าคงดีถ้าได้รู้จักเขาเหมือนที่เธอรู้จัก และฝากขอบคุณคนที่ดูแลสถานที่ที่เธอพัก หมายเลข E ที่เข้าใจฉันและพูดคุยกับฉันอย่างเปิดเผย มองฉันเหมือนลูกสาว ฉันดีใจจริงๆ มันรู้สึกสายเกินไปเหลือเกิน ที่ได้รู้จักคนเหล่านี้ที่เธอนำพามาให้ฉันได้พบในตอนสุดท้ายของฉัน แต่ฉันก็ขอบคุณที่เขามองเด็กอย่างฉันเหมือนลูกหลาน และขอบคุณเธอนะไซย์สำหรับอาหารที่เธอทำให้ฉันได้อิ่มท้องในช่วงสุดท้ายของฉัน ขอบคุณน้าสาวของเธอที่อนุญาตให้ฉันได้กินและพักในห้องของเธอโดยไม่ว่าอะไร ขอบคุณสำหรับที่นอนและอื่นๆที่เธอแบ่งปัน ทั้งที่เธอลำบาก แต่เธอก็มีน้ำใจ ฉันขอให้สิ่งดีๆที่เธอมอบให้ฉันนี้ จงตอบกลับเธอในสักวันหนึ่ง เป็นคำขอบคุณของฉัน

ขออักษรที่รัก จงภักดีต่อเธอ เหมือนที่ฉันภักดีต่ออักษร ทุกอักขระนับจากนี้ขอจงแข็งแรง ปกป้องเธอ เหมือนที่ฉันปกป้อง-คุ้มครองทุกอักขระมาเนิ่นนาน หน้าที่ของฉันและของเธอมักผูกพันกับเหล่าอักษร ทั้งจากยุคนี้ และยุคที่ไม่อาจเอื้อมถึง ทั้งจากโลกที่สามัญ และโลกที่วิเศษ ขอจงเบิกทางในทุกที่ที่เธอต้องการ ฉันขอภาวนาให้เธอสมหวังในเรื่องที่ต้องทำ และภารกิจในอนาคต ขอความสุขที่เธอไม่อาจมีได้ ขอจงมีและเกิดขึ้นในรูปแบบที่เธอสามารถเอื้อมถึง
รักเธอสุดหัวใจ

ฉันจะคิดถึงเธอ
ด้วยอักษรที่รัก
เดอลี ซาร์
หรือ
-เดลล์ นามที่ไซย์เป็นผู้มอบให้

................................................................................................

ไซย์นั่งอ่านจดหมายอยู่บนเก้าอี้นอนของเชย์-หญิงสาวผมแดง
เธอบรรจงพับกระดาษ และใช้ปลายนิ้วรีดให้เรียบตามขอบมุมต่างๆของจดหมาย ก่อนจะเก็บเข้าซองตามเดิมแล้วนั่งถอนหายใจ ดวงตาของเธอแย่ลงในช่วงหลังนี้ ตัวหนังสือพล่าเลือนสีดำหนากว่าแต่ก่อนค่อนข้างมาก และยังปวดตาอีกต่างหาก มันทำให้เธออ่านหนังสือลำบากและเล่นเครื่องมือสื่อสารลำบากกว่าเดิม แต่ไซย์ก็ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคนี้ (คิดว่างั้นนะ) เธอลุกขึ้นยืนหยิบไม้เท้า แต่แล้วก็เลือกที่จะวาง ก่อนจะค่อยๆเดินออกไปจากห้องปรุงยานี้แล้วขึ้นไปบนดาดฟ้าด้วยลิฟต์

เธอชอบดาดฟ้าที่นี่
แล้วเธอก็ยืนร้องไห้ ค่อยๆร้อง แล้วก็เหงา เดียวดาย เธอกลัวโลกใบนี้ แต่ก็ต้องอยู่ กลัวหลายสิ่งแต่ก็ต้องอยู่ ขี้ขลาดและอ่อนแอ เธอลำบากแต่ก็ต้องอยู่ ทั้งที่เธอไม่ได้อยากอยู่เลย ไม่เลยแม้แต่น้อย เธอแค่ต้องอยู่เพื่อบางสิ่ง และใช้ชีวิตให้ปกติเหมือนคนทั่วไปในช่วงที่ยังพอมีเวลาให้ใช้ ใช้ให้เต็มที่เท่าที่สามารถ แม้ว่าเวลาที่มีมันอาจน้อยไปด้วยซ้ำสำหรับเรื่องที่ต้องทำ คนธรรมดาคงไม่อาจเข้าใจและรับรู้ แต่อย่างน้อยหลายคนที่ไม่ธรรมดาก็เข้าใจเหตุผลของคนที่อยากจะตายคนนี้ ว่าทำไมถึงต้องยังอยู่ คุณคงไม่มีสิทธื์จะมาต่อว่า หรือกล่าวหาไซย์ ว่าจะอยู่ทำไม มันลำบาก คุณมีค่าพอแล้วหรือที่จะมาบังคับและบงการให้คนอื่นตายไปซะเพียงเพราะอยู่ไปก็ทรมานน่ะ ทั้งที่ไม่ใช่ชีวิตของคุณด้วยซ้ำ

ไซย์เหงามาก และเหงามากขึ้น เธอไม่รู้เลยว่าการที่เพื่อนคนนี้ของเธอจากไปจะทำให้เธอเหงาและหดหู่ได้มากเท่านี้ คงเพราะสำหรับเพื่อนคนนี้ ไซย์คือเพื่อนรัก มันทำให้ไซย์รู้สึกแย่ แต่ก็เลือกที่จะมองออกไปสู่ที่กว้างบนดาดฟ้าแล้วสัญญาว่าเถ้ากระดูกของเพื่อนจะได้ไปอยู่ที่ใต้ต้นออซ ต้นนั้น ตามที่เพื่อนฝันเอาไว้

ชายหนุ่มคนหนึ่งเฝ้ามองอยู่เงียบๆตรงประตูทางเข้าของดาดฟ้า เพราะไม่กล้าที่จะเข้าไปหาเธอ จึงได้แค่มองอยู่ตรงนั้น จนเธอหันมาเห็นแล้วยิ้มให้ ก่อนจะกวักมือเรียกเขา เขาถึงเดินเข้าไปหา ไปไกล้เธอมากกว่าเดิมจากที่ยืนอยู่ก่อนหน้า

และเขากับเธอก็คุยกันบนดาดฟ้า

.........................
ep* 1
คลิก ➨ เกี่ยวกับ ไซย์ และ เดอลี ซาร์

.
.
...........................................................................................................
🍃🌸🍃🌸🍃🌸🍃
©salinsiree
If you have any questions, or would like to talk, contact me!
salinsiree.witchy@yahoo.com

(เรื่องสั้น) เกี่ยวกับ ไซย์ และ เดอลี ซาร์ // ep.1 - ในอดีต (ฉบับรวบรัด) ของทั้งสอง.... (ep.1-2 จบ)

เขาบอกว่าหล่อนเป็นผู้ร่วมงานที่มีอาการทางจิตใจ บ้างก็ว่ามีอาการหวาดระแวงเข้าขั้นเลวร้าย และแย่ลงเรื่อยๆ แต่เหตุผลที่เลือกหล่อนคือ ความสามารถ และหากว่าพวกเราสามารถยอมรับข้อเสียต่างๆของหล่อนได้ ก็จะร่วมงานกันได้และผ่านไปได้ด้วยดี เขาว่าอย่างนั้น

ไซย์สาวน้อยผู้ซึ่งมีผมสีดำและยาวถึงแค่กลางหลังในตอนนั้น กำลังนั่งขบคิดคนเดียวอยู่เงียบๆพลางนึกเกี่ยวกับบุคคลที่ถูกกล่าวถึง หล่อนคนนั้น.. ไซย์จะพูดอะไรได้ นอกจากคิดคนเดียวเงียบๆ ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆออกไปเช่นที่คนอื่นทำ เพราะแน่นอนว่าจิตใจเธอก็เจ็บป่วยเหมือนกันกับหล่อนคนนั้นนั่นแหละ.. และคงจะดีถ้าหากเข้ากันได้บ้าง ไซย์คิดคนเดียวก่อนจะจินตนาการรูปร่างหน้าตาของหล่อนต่อไป พลางหยิบขนมปังบูลดูย์ก้อนโตใส่ปากและเคี้ยวตุ้ยๆด้วยความหิว

หล่อนเป็นผู้หญิงที่ผอมบางกระดูกโปนและสูงกว่าไซย์ เค้าโครงหน้าวงรีปราศจากเครื่องสำอางและมีหน้าผากที่กว้างโดดเด่นสวยงาม ผมของหล่อนเป็นสีน้ำตาลอ่อนอมสีทองแก่ ผิวหนังสีครีมและค่อนไปทางซีดขาว ปากของหล่อนเล็กไปหน่อย จมูกโด่งและงองุ้มหายาก และเชื่อว่าอาจโดนล้อเลียนได้ง่ายถ้าต้องใช้ชีวิตอยู่อีกโลกหนึ่งที่แสนจะธรรมดาของคนทั่วไป ดวงตาของหล่อนเป็นสีเขียวหม่นหมองไม่สดใสและไม่กลมโตหรือโดดเด่นอะไร หล่อนทำผมโดยการรวบเป็นก้อนกลมๆกลางศรีษระซึ่งไซย์ไม่มีความรู้เรื่องทรงผมมากพอที่จะมีชื่อเรียกให้กับสิ่งนั้น หล่อนสวมเสื้อสีครีมซีดเก่าๆแบบถักมือหายาก เหมาะสมกับยุคเก่าแก่และงานที่ทำ มันมีแขนยาวถึงข้อศอก และผ้าคลุมไหล่สีเหลืองอ่อนมีลายลูกไม้เล็กๆซีดจางอยู่ประปราย หล่อนสวมกระโปรงยาวถึงเท้าและมีสีเดียวกับเสื้อ นั่นเป็นสิ่งที่ไซย์จำได้ในตอนนั้น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้พบกัน

หล่อนเป็นคนสุภาพ ขี้อาย ไม่พูดไม่จากับใคร และไม่มีใครอยากพูดกับหล่อน ผู้ซึ่งจะมีอาการสะดุ้งจนตัวโยนได้ง่ายๆถ้าหากคุณทักหล่อน ไม่ว่าจะด้วยสำเนียงหรือน้ำเสียงแบบไหนท่ามกลางความเงียบ หล่อนผู้ซึ่งซ่อนตัวภายใต้กองหนังสือและกองเอกสารงานต่างๆที่ถูกตั้งขึ้นสูงรอบโต๊ะทำงานที่หล่อนยึดเอาไว้ใช้เพียงลำพังในห้องสมุด หล่อนจะพูดเมื่อถึงเวลาที่พวกเราต้องการจะฟัง และเมื่อถึงเวลางานที่ต้องใช้เสียง ส่วนมื้ออาหารแต่ละมื้อหล่อนจะขอตัวคนเดียวเงียบๆและไม่ร่วมโต๊ะกับใคร ยกเว้นมื้อแรกที่ได้พบกันเพราะมันคือมารยาททางสังคมของที่นี่ และแน่นอนว่าค่อนข้างอึดอัด ซึ่งหล่อนก็ได้ทำหน้าตาที่สื่อถึงความทรมานเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นวันต่อๆมาหล่อนก็ไม่เคยร่วมโต๊ะอาหารกับใครอีก ห้องนอนของหล่อนเป็นห้องเดี่ยวที่ไม่มีใครเดินผ่านเพราะอยู่ริมสุดทางเดิน นั่นหมายถึงทุกคนจะถึงห้องพักของตนก่อนจะได้เดินผ่านห้องของหล่อนนั่นเอง หล่อนมีอาการหลายอย่างที่สื่อถึงหัวใจที่เจ็บป่วยและสุขภาพจิตไม่ค่อยจะดีนัก แต่ถ้าเป็นเรื่องงานที่ได้รับมอบหมายและในส่วนของหล่อนที่ต้องทำนั้นคงต้องยอมรับ และชื่นชมได้เต็มปากว่ายอดเยี่ยม ไม่มีบกพร่อง

ทั้งหมดนี้ ไซย์จับตาและเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา พลางครุ่นคิดเพียงลำพังด้วยข้อมูลที่ได้จากการเฝ้ามองหล่อนด้วยตัวเองในทุกๆวัน ไซย์ยังไม่ได้พูดคุยกับหล่อนเพราะยังไม่ได้มีหน้าที่ตรงนั้น และแม้จะสามารถพูดทักทายกันได้ง่ายๆ แต่ก็เพราะหล่อนปิดกั้นให้คนอื่นออกห่างและแผ่รัศมีบางอย่างที่สื่อถึง ได้โปรดอย่าทักฉันและปล่อยยฉันไปเถิด ไซย์ผู้ซึ่งไวต่อความรู้สึกต่างๆของผู้คนจึงไม่เคยได้ทักทายหล่อนนอกจากยิ้มให้ เพราะเกรงว่าจะทำให้หล่อนอึดอัดกว่าเดิม

และวันที่ทักทายหล่อนก็ได้มาถึง หลังจากครุ่นคิดอยู่นานไซย์ก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นว่าต้องเข้าหาหล่อนให้ได้ คนอื่นอาจมองว่าแปลกต่อเรื่องนี้ แต่สำหรับไซย์ผู้ซึ่งเป็นคนแปลกอยู่แล้วมันจึงไม่แปลกอะไรสำหรับการหาเพื่อนใหม่ หรือได้เรียนรู้ที่จะพูดคุยกับสิ่งมีชีวิตใหม่ๆแบบนี้

.......................................
เล่าว่า

"ห้าวันเต็มๆกว่าเธอจะยอมพูดกับฉัน" ไซย์หัวเราะ "นึกถึงตอนนั้นแล้วฉันอยากวางแผนใหม่และเริ่มไปทักทายเธอใหม่ เชื่อเถอะว่ามันจะไม่ใช้เวลาถึงห้าวันแน่นอน"
"ต้องยอมรับว่าเธอเหมือนปีศาจร้ายตัวเล็กๆในตอนนั้น ฉันกลัวเธอมากเลยนะ และเริ่มอยากจะจบงานให้ไวกว่าเดิมด้วยซ้ำ"
"แต่เธอก็ติดฉันแจในที่สุดนะ" ไซย์หัวเราะอีกครั้ง

........................................

เรื่องราวอย่างย่อในห้าวัน

วันแรก - ไซย์ยื่นความไว้วางใจให้หล่อนด้วยขนมคุ้กกี้ข้าวโอ๊ตแสนอร่อยอบใหม่หกชิ้น (ที่แอบหยิบมาจากในครัวของดุ๊กซี่ย์ ไวท์ แม่ครัวประจำของที่นี่) วางเรียงในจานสีขาวลายลูกไม้ พร้อมกับน้ำแอปเปิ้ลเย็นสดชื่น แต่ถูกหล่อนปฎิเสธด้วยการก้มหัวให้เป็นเชิงขอบคุณแต่ไม่รับ ก่อนจะรีบเข้าไปซ่อนตัวในโต๊ะทำงานที่หล่อนยึดเอาไว้ เป็นตัวในสุดในห้องสมุดที่มีชั้นวางหนังสือสูงตั้งรายล้อมเป็นกำแพงปกป้องหล่อนจากสายตาของผู้คน ไซย์จึงจัดการคุ้กกี้ในจานและน้ำแอปเปิ้ลด้วยตนเอง ก่อนจะไปเอาเพิ่มอีกแก้วและตั้งใจว่าวันนี้จะไม่กดดันหล่อนมาก แค่จะยิ้มกว้างๆให้หล่อนทุกครั้งที่เจอสำหรับวันนี้ก็แล้วกัน

วันที่สอง - ไซย์ทักทายระหว่างทางเดินไปห้องสมุด (ตั้งใจตื่นเช้ามายืนรอเลยนะ) และถูกหล่อนปฎิเสธด้วยการก้มหัวทักทายอย่างลุกลี้ลุกลนและตัวสั่นเมื่อได้เห็นไซย์ก่อนจะรีบเดินจากไป แต่ไซย์ก็วิ่งตามเบาๆไม่เร่งรีบก่อนจะบอกว่าเที่ยงนี้ตนจะเข้ามาทำงานในห้องสมุด อยากได้อะไรไหมจะได้หามาให้ไม่ว่าจะเป็นขนม อาหาร น้ำดื่ม หรือของที่จะใช้ทำงานเพิ่ม หรือวานให้พูดให้บอกอะไรกับใครก็ยังได้นะ (เอาสิ) แต่หล่อนกลับตัวสั่นยิ่งกว่าเดิมและรีบเดินหนีจากไซย์ให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไซย์จึงหยุดเดินและคิดว่าอาการแบบนี้คือหวาดระแวงผู้คนและกลัวการสื่อสาร เธอเข้าใจดีเพราะลิ้มรสมาบ้างแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ควรพูดรัวใส่หล่อนหรือยัดเยียดความเป็นมิตรให้

ว่าแล้วไซย์ก็หันหลังกลับพร้อมกับคิดทบทวนเรื่องใหม่ๆโดยการแบ่งเรื่องไว้ที่สมองส่วนซ้าย และแบ่งเรื่องหล่อนไว้สมองส่วนขวากับแบ่งเรื่องอาหารเช้าไว้ที่สมองส่วนกลาง ก่อนจะเพิ่มอาณาเขตออกไปจนแทนที่ส่วนซ้ายและขวาในที่สุด

ช่วงเที่ยงไซย์ขึ้นมาพร้อมกับถาดอาหารขนาดเล็กและมีจานพุดดิ้งรวมถึงน้ำแอปเปิ้ลสองแก้ว ก่อนจะวางลงบนโต๊ะของหล่อน แต่หล่อนไม่อยู่ อาจหลบซ่อนอยู่เพราะรู้ว่าไซย์จะมา ไซย์เลือกจะเรียกชื่อหล่อนเบาๆและบอกว่า มีของว่างมา วางที่โต๊ะ ก่อนจะขอตัวไปหาหนังสือแถวๆนั้นด้วยท่าทางสบายๆกันเอง ไม่นานหล่อนก็ออกมา และไซย์ทำเป็นเดินผ่าน แบบที่ไม่มองหล่อน หล่อนสะดุ้งและตกใจแต่เมื่อเห็นไซย์ไม่ได้มองตนแม้แต่น้อยก็เลยไม่กดดันมาก ไซย์เลือกจะทำเป็นกันเอง ง่ายๆ ไม่มอง ไม่จ้อง เมื่ออยากพูดก็ตะโกนถามถ้าอยู่ไกล และเดินไปหาเพื่อดื่มน้ำแก้วที่สองของตน ถามข้อมูลหล่อนเกี่ยวกับหนังสือ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป วานหล่อนให้ช่วยหา (ทั้งที่รู้ว่าอยู่ตรงไหน) ชมหล่อน และอื่นๆ

แม้หล่อนจะหลบหนี และทำงานไม่ราบรื่นเพราะมีปีศาจตัวน้อยๆอยู่ในห้องเดียวกันนี้ และแม้ว่าห้องจะใหญ่มาก แต่ก็ต้องคอยลุ้นว่าไซย์จะโผล่มาตอนไหน นั่นทำให้หล่อนอยู่ไม่เป็นสุข แม้ว่าไซย์จะไม่ก้าวก่ายและไม่ทำให้อึดอัดมากก็ตาม

วันที่สาม - ยังคงเหมือนวันที่สอง แต่มีงานภาคสนาม ต้องออกข้างนอก และไซย์ก็คอยอยู่กับหล่อน ปกป้องและพูดแทน กับไม่เซ้าซี้หรือถามหล่อนมาก ไซย์รู้จักคนแบบหล่อนดีว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเข้าหาได้ดี ช่วงนั่งพักไซย์ก็เลือกมานั่งกับหล่อน นั่นทำให้หล่อนกังวลและอยากร้องไห้ แต่ไซย์ก็รู้ดีแล้วรีบพูดโดยทำเป็นไม่สังเกตุเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนสีเพราะความอึดอัดของหล่อน ไซย์เล่าถึงความเหนื่อยของตนเองเหมือนไม่รู้ตัว "เฮ้อ เหนื่อยจัง ขาของฉันไม่ค่อยแข็งแรงและมันเดินมากเกินไปแล้วด้วย" ก่อนจะเล่าแบบไม่มีน้ำหนักถึงความเจ็บป่วยของตนเอง แต่เสริมกำลังใจว่าต้องทำเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ฮึบๆ!

หล่อนมองปีศาจตัวน้อยๆตรงหน้าด้วยแววตาไครรู้ อยากพูด อยากถาม แต่ปากมันก็สั่นไปหมด ไซย์สังเกตุเห็นเพียงเล็กน้อยแล้วทำเป็นพูดว่า "รู้อะไรไหม ฉันน่ะ..." แล้วก็เข้าทางของไซย์ เมื่อหล่อนตั้งใจฟัง และเริ่มถามคำถาม ไซย์ก็ดีใจ ที่ทำให้คนขี้เหงา ขี้อาย กล้าพูดกับตน หล่อนจะรู้ตัวไหมนะว่าไซย์กำลังช่วยเหลืออยู่น่ะ

พอช่วงค่ำไซย์พูดกับทุกคนให้เข้าใจหล่อน ผ่านมุมมองของไซย์ ไม่ใช่ผ่านดวงตาของแต่ละคน เมื่อแต่ละคนฟังไซย์อธิบายและเล่าในแบบของไซย์ ทุกคนจึงเริ่มตระหนักและเข้าใจหล่อนมากขึ้น ก่อนเข้านอนไซย์ไปเคาะประตูห้องหล่อนก่อนจะเรียกชื่อว่าตนมาหาและขอถามความคิดเห็นเรื่องงาน หล่อนเปิดประตูให้เคลื่อนออกเล็กน้อยพอให้มองเห็นดวงตาข้างเดียวของหล่อน

วันที่สี่ - ดีขึ้น ทานข้าวด้วยกันเงียบๆทุกมื้อ

วันที่ห้า - ดีขึ้น ทานข้าวด้วยกัน และมีพูดคุยเล็กน้อย

วันที่หก ยอมคุยด้วยแบบคนปกติ ปกติจริงๆเลยนะ เริ่มจาก หล่อนทักทายไซย์ก่อนด้วยการยิ้มให้แล้วพูดว่า "วันนี้มี..." "ที่..." "เธอต้องการ...แบบใหม่ เพื่อให้มันง่ายขึ้นไหม.." "ฉันจะทำให้..." โอวววเย่ส์ ไซย์ร้องในใจและพยายามทำเป็นกันเองเหมือนเดิม ไม่ทำอะไรตื่นเต้นที่เห็นหล่อนพูดด้วย เพื่อที่หล่อนจะได้ไม่กดดัน หลังพักไซย์และหล่อนนั่งคุยกัน และเล่นกัน เกมส์จากโลกของคนสามัญที่ไซย์พอรู้และชวนเล่น ตอนแรกหล่อนยังขัดเขิน ต่อมาก็ร้องวี้ดว้ายจนไซย์อิจฉาว่าจะสนุกอะไรขนาดนั้นน่ะ ไซย์ชี้ต้นออซต้นนั้นว่าไปเล่นที่นั่นกัน มันสวยเหมือนในนิทานเลย หล่อนจึงได้หันไปมองเป็นครั้งแรกและตกหลุมรักมันทันทีที่เห็น จึงเลือกให้เป็นที่ประจำของหล่อนในการทำงานง่ายๆ คิด เขียน และพักผ่อน ไซย์ก็ชอบเช่นกัน

วันหนึ่งไซย์เล่าเกี่ยวกับตนเองที่ใต้ต้นออซ และแบ่งปันเรื่องราวเศร้าๆในมุมมองของตน พร้อมกับนั่งฟังฝ่ายตรงข้ามเล่าถึงชีวิตตนเองด้วยความเขินอาย ไม่ประติดประต่อ แต่ไซย์ก็สามารถจิตนาการต่อช่วงที่ขาดๆเกินๆได้ด้วยความสามารถเฉพาะตัว 

ไซย์ได้รู้ว่าตนคือคนแรกที่ได้พูดคุยกับหล่อนแบบนี้ และได้ฟังอะไรที่ถือว่ามากสำหรับหล่อนที่จะพูดออกมาให้ใครสักคนฟัง หล่อนให้เหตุผลว่า ความพยายามเข้าหาตัวหล่อนจากไซย์ทำให้หล่อนมองเห็นบางอย่าง และพยายามพิจารณาจนเริ่มใจอ่อนแม้หวาดกลัวปีศาจตัวเล็กๆแบบไซย์ แต่มันสนุกมากที่่ได้พูดคุยและได้ทำอะไรที่เรียกว่า เล่นด้วยกัน ไซย์สอนให้หล่อนรู้จักคำนี้ และหล่อนก็ชอบ

........................................

"เดลล์ ฉันเรียกเธอว่าเดลล์ก็แล้วกันนะ เพราะว่ามันง่ายกว่าการเรียกว่า เดอลี คือหมายถึงง่ายกว่านิดหน่อยน่ะ" ไซย์พูดขึ้น
"อืม แล้วแต่เธอสิ ไม่มีใครเคยตั้งชื่อเล่นให้ฉันแบบสนิทกันมาก่อนเลย" หล่อนบอก
"ก็มีแล้วนี่ไง เดลล์"
หล่อนยิ้มเขินอายให้ไซย์แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป

........................................

หลังจากภารกิจเสร็จสิ้น ไซย์ก็เดินทางกลับบ้าน

เรายังต่างเชื่อมต่อกันด้วยความพอดี ไม่มากเกินหรือน้อยไป จดหมายที่ส่งถึง อีเมลที่ส่งถึง กับร่วมงานกันเป็นบางครั้งหรือหนุนงานให้กันเป็นบางที จนเมื่อถึงจุดเปลี่ยนในชีวิตของไซย์ที่ต้องละทิ้งหลายสิ่งในอีกโลกหนึ่ง และอาศัยอยู่ในอีกโลกที่ปกติธรรมดาของคนทั่วไป การเชื่อมต่อจึงบางเบาลง แต่ไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย เพราะเราต่างมีจุดที่เข้าใจและเหมือนกัน เรารู้ว่าอีกฝ่ายต่างปิด และเปิดตรงไหนในหัวใจของกันและกัน

.........................................
ความเจ็บป่วยที่จิตใจ

ไม่มีใครอยากเจ็บป่วยที่จิตใจหรอก คุณเรียกมันว่าอะไร ความซึมเศร้าหรือ จิตใจที่บาดเจ็บ ไม่ว่าจะอย่างไหนมันก็คือหัวใจหนึ่งดวงของคนหนึ่งคนที่กำลังป่วยทางความรู้สึก แต่ละคนมีความรุนแรงที่แตกต่างกันไป บางคนเรื่องราวอาจเล็กน้อยแต่ความรุนแรงมาก บางคนเรื่องราวมากมายแต่ความรุนแรงน้อย บางคนสู้ไหวทั้งที่เรื่องราวก็มาก ความรุนแรงทางความรู้สึกก็มาก บางคนสู้ไม่ไหวแม้เรื่องราวจะน้อยก็ตาม มันเพราะอะไรเหรอ? เพราะสิ่งรอบตัวไม่เหลืออะไรให้เยียวยา.....

เดอลี ซาร์ หรือที่ไซย์ตั้งชื่อเล่นให้ว่า เดลล์
เป็นสาวน้อยคนหนึ่งที่เจ็บป่วยทางจิตใจตั้งแต่ยังเด็ก เดลล์ปราศจากความรักของพ่อแม่ และไม่ได้เติบโตมาในที่ที่ดีนัก และใช้ชีวิตเพียงลำพังคนเดียวตั้งแต่อายุสิบสามปี เดลล์หวาดกลัวผู้คนและไม่ชอบพูดคุยกับใคร เก็บตัวเงียบและขี้อาย เดลล์ตื่นตกใจง่ายกับทุกสิ่งใหม่ๆและหวาดระแวงเรื่องราวใหม่ๆว่าจะนำพาสิ่งใดมา รวมถึงการสนทนาใหม่ๆว่าจะนำความรู้สึกใดมาสู่ตน กลัวว่าทุกคนจะไม่ชอบและรังเกียจ กลัวทุกสิ่งและอ่อนไหวกับทุกอย่าง เดลล์เก็บตัวอยู่ในห้องพักโทรมๆที่ไม่เคยออกไปไหนไกล นอกจากซื้อของใช้ในร้านสะดวกซื้อหลังเที่ยงคืนที่คนน้อยและบางตา เดลล์ผู้เหงาและเดียวดาย เปล่าเปลี่ยวและซึมเศร้า เธอมักจะรับงานผ่านอีเมลและเครื่องมือเก่าๆโบราณของเธอภายในห้อง ทำและส่งภายในห้อง เดลล์ออกไปทำธุระหรืองานภายนอกได้แต่ต้องทานยาหลายชนิดเพื่อรวบรวมความกล้าต่อการเจอผู้คน เดลล์ผู้น่าสงสาร เธอมีความสามารถมากมายและเก่งหลายด้านเกี่ยวกับตัวอักษรทั้งเก่าและใหม่ ทั้งจากยุคนี้และยุคก่อน เดลล์รักงานนี้มาก เธอรักงานเขียน และอยู่เบื้องหลังงานต่างๆมากมายแต่ไม่เคยได้รับการยกย่องแม้ทุกคนจะรู้และทราบ ก็ใครจะอยากยกย่องคนที่เอาแต่หลบซ่อน คนที่จิตป่วย เดลล์มักคิดแบบนี้และน้อยใจเสมอมา

 เดลล์ร้องไห้บ่อยมากในระยะหลัง และอาการก็ทรุดลงเรื่อยมา เดลล์รับรู้และคิดว่าคงอีกไม่นาน เดลล์คิดแบบนี้เสมอและมักจะพูดกับไซย์ ที่ยึดเหนี่ยวแห่งเดียวของทุกโลกที่เดลล์อาศัยและเกี่ยวข้อง ไซย์คือเพื่อนคนแรกและคนเดียวที่เดลล์รักและให้ใจ ด้วยความที่ไซย์ก็มีหัวใจที่เจ็บป่วยเหมือนกันและมีเรื่องราวร้ายๆมากกว่า เดลล์จึงถือว่านี่เป็นกำลังใจและเป็นตัวอย่าง แม้เดลล์ต้องการหลายอย่างจากไซย์ แต่ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ย หรือบอกว่าไซย์คือเพื่อนคนเดียวที่เดลล์มี เพราะเดลล์รู้ว่าไซย์มีเพื่อนรักอยู่แล้ว จึงพอใจที่ได้เป็นแค่เพื่อนที่ดีของไซย์เท่านั้น

แต่ไซย์ก็ไม่เคยทอดทิ้งเดลล์ ทุกครั้งที่รับรู้ ไซย์จะพยายามช่วยเท่าที่จะทำได้เสมอมา แต่เพราะเดลล์มีความคิด คิดว่าไม่กล้าที่จะใช้ชีวิตต่อ มันผุดขึ้นในใจเสมอ และบ่อยครั้ง เดลล์ร้องไห้บ่อยขึ้นและไซย์ก็เป็นที่พึ่ง ทั้งเรื่องงาน และเรื่องอาหารในตอนสุดท้ายของชีวิตเดลล์ เดลล์ออกภายนอกเพื่อไปพักอยู่กับไซย์และ ได้เดินทางไปทำงานในที่ที่ไกลแสนไกล ก่อนจะล้มเหลวกลับมา นั่นคือจุดเปลี่ยนให้เดลล์จม และดิ่งลงสู่ความมืด รอบตัวเดลล์เปล่าเปลี่ยว ไม่มีสิ่งใดช่วยเยียวยาเดลล์ได้อีกแล้ว ไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัว แม้แต่ไซย์ก็ยังไม่อาจช่วยความรู้สึกที่เหมือนดิ่งลงเหวนี้ได้ ทำไมหัวใจถึงได้กลวง เป็นช่องว่างขนาดนี้ มันลึกและไม่สามารถหาสิ่งใดมาเติมเต็มได้ ทุกอย่างดูสวนทางกับเดลล์ เมื่อเดลล์ไม่รู้จะแก้ไขปัญหาชีวิตอย่างไร อย่างไรที่ไม่ต้องพึ่งพาคนที่กำลังลำบากเช่นไซย์ เดลล์มองดูไซย์เจ็บป่วยและเดินลำบาก แต่ยังคงต้อนรับและปลอบใจเดลล์ที่ไปหา พร้อมมอบอาหารมื้อสุดท้ายให้เดลล์ จากนั้นเมื่อเดลล์กลับห้องพักของตน เดลล์ก็ตัดสินใจได้ เกี่ยวกับชีวิตของตน....

.........................................

กลางดึกที่ไซย์นอนไข้ขึ้นและทุกข์ทรมานอยู่นั้น สายตาได้มองเห็นใครคนหนึ่งนั่งอยู่ปลายเตียง
"เดลล์หรอ.. มาแล้วหรอ.. มาดึกจัง หิวไหม? มีอาหารในตู้เย็นนะ จัดการได้เลย.."
เดลล์ไม่ตอบกลับไซย์ นอกจากยิ้มให้ ไซย์มองดูเพื่อนสาวด้วยความมึน งง และสับสนเพราะพิษไข้
"มีอะไรหรือเปล่าเดลล์" ไซยเค้นเสียงถามออกไป
"ขอบคุณนะไซย์ ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อสุดท้าย มันอร่อยมาก.. เธอทำอาหารอร่อยเสมอเลย"
"ไม่หรอก.. บางครั้งก็ไม่อร่อยนะ ถ้าไม่ได้ชิมเองน่ะ" ไซย์ตอบกลับเดลล์

ไซย์นอนพลิกไปมาอีกครั้งก่อนจะเรียกหาเดลล์ที่เงียบไป แต่กลับไม่เห็นเพื่อนสาวแล้วนอกจากผู้ชายวัยกลางคนที่กำลังช่วยไซย์เช็ดตัว ไซย์จึงถามว่าเห็นเพื่อนสาวของเธอหรือไม่ แต่เขากลับตอบเธอว่า ไม่เห็นและไม่มีใครมาทั้งนั้น ทั้งหมดเป็นอาการเพ้อปกติ เวลาที่เธอมีไข้ขึ้นสูง ตอนนั้นเองที่ไซย์เข้าใจและคิดได้ก่อนจะลุกขึ้น และพูดว่า "ช่วยพาฉันไปหาเดลล์ที"

.........................................

ตอบจบ

ร่างของเดลลี ซาร์ นอนนิ่งด้วยความสงบ

ไซย์ได้จัดการทุกอย่างด้วยแรงกายที่มี ส่วนแรงใจไซย์ไม่ได้ใส่ใจมากนักว่ามีเท่าไหร่ คนเรามักทำอะไรได้เกินตัวเสมอนั่นแหละ คิดอย่างนั้นแล้วไซย์ก็ทำทุกสิ่งต่อไป

ไซย์ได้ฉีดยาเพื่อไม่ให้ร่างกายของเดลล์เน่าเปื่อย และฉีดยาที่ไม่ทำให้ร่างกายของเดลล์แข็งจนเกินไป ไซย์ถอดเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนคราบน้ำลายและอาเจียน รวมถึงปัสสาวะและอุจจาระตัวเก่าของเดลล์ออกและยัดใส่ถุงขยะสีดำ จากนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งก็เข้ามาช่วยไซย์โดยการอุ้มร่างที่เปล่าเปลือยของเดลล์ขึ้นมา และพาไปห้องน้ำในห้องของเดลล์ ก่อนที่ไซย์จะทำความสะอาดร่างกายของเดลล์ด้วยการอาบน้ำให้สะอาดเท่าที่จะทำได้ (ไซย์ไม่ได้เลือกวิธีเช็ดตัวเพราะหลายสาเหตุ ไม่ขออธิบายเพราะน่าจะเดากันได้) จากนั้นชายหนุ่มที่คอยอยู่ก็ช่วยอุ้มร่างที่เปล่าเปลือยของเดลล์ขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะพาไปที่เตียงนอน ซึ่งตอนนี้ปราศจากคราบสกปรกก่อนหน้าแล้ว เนื่องจากหญิงสาวผมแดงคนหนึ่งได้ดึงผ้าปูเตียงออกและจัดการที่เหลือด้วยความรวดเร็ว ชายหนุ่มวางร่างของเดลล์ลงบนเตียง จากนั้นไซย์ก็เช็ดตัวเดลล์ ก่อนจะไปหารื้อเสื้อผ้าในลังที่ยังไม่ได้เปิดตอนย้ายเข้าหอพักมา และในตู้เสื้อผ้า แต่ก็ยังไม่ถูกใจจนถูกทักว่าให้รีบเร่ง

แต่เพราะไซย์ยังมีขาที่ไม่แข็งแรงและทำอะไรไม่สะดวกมากนักจึงล่าช้า ชายหนุ่มที่ยืนมองอยู่จึงเข้ามาช่วยแล้วถามไซย์ว่าต้องการเสื้อผ้าชุดไหนหรือเปล่า ไซย์ตอบว่าต้องการตัวสีครีมเก่าๆที่ถักมือแบบยุคเก่าๆ กับผ้าคลุมไหล่สีเหลือง แล้วก็กระโปรงสีครีมที่ยาวๆถึงข้อเท้า เมื่อไซย์อธิบายจบ หญิงสาวผมสีแดงก็เอ่ยขึ้นให้รู้ว่าอยู่ตรงไหน ชายหนุ่มจึงจัดการหาแทนไซย์ที่ยืนสั่นไหวไปมา เมื่อได้แล้วทั้งไซย์และหญิงสาวผมแดงก็ช่วยกันสวมใส่เสื้อผ้าให้เดลล์จนเรียบร้อย จากนั้นไซย์จึงหวีผมให้เดลล์อีกครั้งก่อนจะจัดร่างกายของเดลล์ให้นอนหงายอย่างสงบนิ่งบนเตียง

ไซย์นั่งลงข้างๆร่างที่ไร้วิญญาณของเพื่อนสาว มองดูผิวที่ซีดจนเป็นสีขาวอมเทา ร่างกายที่ผ่ายผอม ดวงตาที่ดูโปนภายใต้เปลือกตาที่หุ้มปิดอยู่ และเล็บที่มีสีเขียวคล้ำอมม่วง

จากนี้ก็รอเคลื่อนย้ายศพของเดลลี ซาร์
ไซย์คงต้องพึ่งพาพ่อของชายหนุ่ม เพราะคิดว่าไม่มีทางไหนจะสะดวกและเรียบร้อยดีที่สุดแล้ว อีกอย่างเดลล์เองคงจะดีใจ ถ้าคนที่เคยรู้สึกดีด้วยในช่วงสั้นๆมีส่วนช่วยในเรื่องนี้ ไซย์จะต้องจัดการของทุกอย่างของเดลล์และอื่นๆ ไซย์คิดว่าตัวเองเหนื่อยล้าและทุกข์ใจมาก แต่ไซย์ก็กลับนั่งอยู่เฉยๆ

ก่อนจะมีมือมาแตะที่ไหล่เบาๆ ไซย์เงยหน้าขึ้นไปมอง ก่อนจะน้ำตาไหล และมันก็ไหลไม่หยุด จากมือที่แตะไหล่เบาๆ ก็กลายเป็นการกอดจากข้างหลังที่หนักแน่น นี่คงเป็นกำลังใจสินะ กำลังใจแบบที่เดลล์ไม่อาจมี ยิ่งคิดไซย์ก็ยิ่งเจ็บปวด เจ็บปวดจนอ้อมกอดนั้นเริ่มร้อนฉ่า

..............................................

เดลล์สั่งเสียในจดหมายว่าต้องการให้นำเถ้ากระดูกของเธอไปฝังไว้ที่ใต้ต้นออซของหอสมุดคิลส์ ไซย์ยืนพูดบนดาดฟ้า ชายหนุ่มรับฟังก่อนจะพูดว่าที่นั่นคงสวยงามมาก และคงอยู่ไกลมาก มันคงมีค่าในความทรงจำสำหรับเดลล์ใช่ไหม ไซย์ยิ้มก่อนตอบว่า อืม มันไกลแสนไกลมากเลย แถมยังสวยงามมากเลยนะ มันเป็นที่ที่ฉันกับเดลล์รู้จักกันเป็นครั้งแรกน่ะ ชายหนุ่มหลับตาและลองจินตนาการก่อนเอ่ยว่า ตัวเขาคงไม่มีทางได้เห็นสถานที่นั้น ไซย์จึงบอกว่า ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก ชายหนุ่มคงอยากแย้งตรงๆว่า มันไม่ใช่ที่สำหรับคนสามัญแบบเขามากกว่า แต่ก็คงไม่กล้า ซึ่งไซย์ก็คิดว่าดีแล้ว เพราะตอนนี้ยังไม่เหมาะสมนัก

ไซย์คิดเสมอว่า เดลล์ไม่ได้รักตน นอกจากรู้สึกดีด้วย ทั้งที่เดลล์นั้นรักเสมอมา แต่ไม่กล้าพูดและขออะไรมากจากไซย์ ไซย์จึงรู้สึกอ้างว้างและคิดว่าตนนั้นทำไม่ดีพอกับเดลล์

.............................................

ณ หอสมุดคิลส์
จดหมายฉบับเร่งด่วนถูกส่งมาจากปีศาจตัวเล็กๆที่มีชื่อเสียง นามว่า ไซย์ลี่ หรือเรียกสั้นๆว่า ไซย์ มันถูกผลึกด้วยตราเฉพาะของเธอ หลังจากดิรอยด์ผู้นำสูงสุดของคิลส์แกะจดหมายออกจากซองด้วยมือที่สั่นเทา ทันทีที่อ่านจบเขาก็อุทานด้วยความตกใจระคนเสียดาย พลางคิดว่าหนุ่มสาวยุคนี้ทำไมถึงคิดอะไรง่ายนักในเรื่องของความตาย

ภายในหอสมุดคิลส์ ผู้คนต่างสวมชุดดำ และผนังสำหรับจารึกทั้งในและนอกปราสาทตอนเหนือถูกประดับด้วยอักขระสวยงามที่มีความหมายว่า "ระลึกถึง เดอลี ซาร์ ผู้สร้างและคุ้มครองอักขระของยุคเรา" และที่ทางเข้าหอสมุด ภาพวาดสีน้ำ ที่วาดอย่างเร่งด่วนถูกทำขึ้นและประดับไว้หน้ากำแพงจารึก มันคือภาพของ เดอลี ซาร์ พร้อมประวัติและผลงานหลักๆของเดอลีที่ถูกเขียนอยู่ข้างใต้รูป

เดอลี ซาร์ วัย 25 ปี
.
ผู้ช่วยสร้างอักขระรอมมัล ปี 2002
ผู้ช่วยแปลและถอดความอักษรรูนระดับแปด
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการคิดค้นวิธีสร้างแผนที่เซ้าค์มอลติน 2011
ผู้ถอดความบทฮันซาร์ที่มีอายุ สองพันปี
ผู้ที่ริเริ่มวิธีคิดเลขด้วยอักษรมีร์อย่างย่อ
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการแปล-แก้ไขแผนที่ต่างๆมากมาย เช่น
-แผนที่ปราสาทเดอลาฟรอนซ์ จากฉบับดั้งเดิมเป็นภาษาปัจจุบัน
-แผนที่หอสมุดคิลส์จากภาษาดั้งเดิมเป็นภาษาปัจจุบัน
-แผนที่อารยธรรมของชนเผ่านาร์
-แผนที่หอดูดาวและศาสตร์มืดของ เนท รีมัส
และอื่นๆที่ไม่ได้กล่าวถึง
ทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ร่วมทำภารกิจ โดซัคร์ ของ ฟาร์ยัว ร่วมกับไซย์ลี่และทีมของคิงส์
ทั้งยังร่วมแปลและถอดความสำคัญของหนังสือเรียนสำหรับนักเรียนรุ่นเยาว์ ตลอดเรื่อยมา
รวมถึงผลงานอื่นๆที่ไม่ได้กล่าวถึง
...
(ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะไซย์ ก็จะใครอีกล่ะ..)

ไซย์คิด และตั้งใจที่จะให้เป็นแบบนี้ แม้จะต้องบังคับขู่เข็ญกันก็ตาม แน่นอนว่าในจดหมายที่ไซย์เขียนถึงหอสมุดคิลส์นั้น มีคำขอ และข้อบังคับที่ไซย์ขอร้องให้ทำโดยให้เหตุผลที่อาจทำให้คนที่เป็นความดันโลหิตสูงอย่างดิรอยด์ มีความเสี่ยงที่ความดันจะขึ้นสูงไปอีกหน่อยหลังจากอ่านจดหมายจบ 

ไซย์ยังแนบข้อความและรายละเอียดผลงานของเดลล์มาพร้อม ซึ่งต้องขอบคุณเพื่อนเก่าแก่ ณ หอสมุดแห่งหนึ่งที่ช่วยเรียบเรียงให้อย่างเร่งด่วน มันคงจะดี ถ้าการจากไปของเดลล์มีความสำคัญ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเดลล์ถูกมองข้ามเพราะหลายอย่าง ทั้งความเจ็บป่วย สถานะ และไม่มีพื้นฐานทางสังคม เดลล์อาจสร้างมันได้หากไม่กลัวผู้คนตั้งแต่ตอนแรกที่เริ่มทำงาน แต่เดลล์กลับไม่ทำ ไม่ยอม ไม่สร้างฐานสังคม เหมือนกับที่สร้างผลงาน มันจึงทำให้เดลล์อยู่ในที่แคบด้วยความน้อยใจ หลายผลงานที่ไม่มีชื่อเดลล์เพียงเพราะเดลล์ไม่เรียกร้องไม่ได้แปลว่าไม่ต้องการ หากแต่เดลล์ไม่กล้า ชื่อของเดลล์ไม่เคยโดดเด่นเลย แม้หลายงานจะมีชื่อ แต่หลายงานก็กลับไม่เปิดเผย มันอาจถูก เพราะบางภารกิจจะไม่เปิดเผยรายชื่อผู้ที่ทำภารกิจ แต่อย่างน้อยตอนนี้ไซย์ก็ได้ทำให้เดลล์มีชื่อในที่ที่ควรจะมี มีหลายคนพูดว่า คนนี้เองเหรอที่เป็นคนทำ... คนนี้เอง.. ออใช่ๆ... และอื่นๆหลังจากนั้นไม่นาน รวมถึงยังมีหอสมุดอื่นๆอีกหลายที่ ที่ร่วมรำลึกถึง เดอลี ซาร์ ดั่งที่ไซย์วางแผนเอาไว้ แถมยังดีเกินคาดเพราะไซย์ตั้งใจทำแค่เพียงหอสมุดคิลส์เท่านั้น แต่มันก็ดีแล้ว มันสมควรอย่างยิ่งที่-ที่อื่นก็ควรรับรู้ เพื่อนเก่าที่เคยทำภารกิจด้วยกันก็มีส่วนช่วยในเรื่องนี้เช่นกัน ต้องขอบคุณพวกเขาที่มีน้ำใจต่อเดลล์ ถ้าเดลล์รับรู้คงดีใจ ต้องดีใจอยู่แล้ว

.............................................

"เฮ้ออออ เสร็จสักที" ไซย์ถอนหายใจยืดยาว แล้วใช้นิ้วมือที่เย็นเฉียบกดลูกตาที่แสนจะปวดร้าวเบาๆทั้งสองข้าง ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆถามขึ้น "เขียนเรื่องของเดลล์เหรอ ทั้งๆที่สายตาเธอแย่ลงมากขนาดนี้มันไม่ควรมานั่งจ้องจอคอมแบบนี้เลย แถมยังหยอดตาบ่อยมากเพราะมันปวดใช่มั้ย" ไซย์ฟังชายหนุ่มที่นั่งข้างๆพูดกับตน เขาพูดมากขึ้นนะช่วงนี้ ซึ่งก็ถือว่าดี "ก็ฉันอยากรีบบันทึกเรื่องราวของเดลล์ให้เป็นที่จดจำ ก่อนจะพักสายตายาวๆจากนี้" เขาพยักหน้าและมองหน้าเธอ เธอถามว่ามีอะไร เขายิ้มแล้วตอบว่า "เปล่า แค่แปลกใจที่มองหน้าเธอนานๆได้แล้วก็เท่านั้น" ไซย์ได้ยินแบบนั้นจึงหัวเราะตอบเสียงดัง

ก็คงเพราะเวลามันเดินหน้า อะไรๆมันก็ต้องเปลี่ยนจากเดิม

........................
ep* 2
.
.
...........................................................................................................
🍃🌸🍃🌸🍃🌸🍃
©salinsiree
If you have any questions, or would like to talk, contact me!
salinsiree.witchy@yahoo.com